เข้าพรรษา ต้องมาศาล ต้องอดข้าวเช้าอีกแล้ว

0
92

ศาลแพ่งมีหนังสือนัดมาไกล่เกลี่ยในคดีที่ฉันฟ้องแพ่งเจ้าคุณพิพิธ แห่งวัดสุทัศนเทพวราราม

ในวันอังคารที่ ๒๖ ก.ค. เวลา ๙.๐๐ น.

พอรับอรุณแล้ว ฉันต้องเดินทางออกจากวัดตั้งแต่ ๖ โมงเช้า โดยมิได้เดินบิณฑบาตตามธรรมเนียมปฏิบัติในช่วงเข้าพรรษา ภิกษุจะไปไหนต้องบอกลา ต้องแจ้งภาระก่อนที่จะไปให้สงฆ์ทราบ

เมื่อวานหลังจากเจริญพระพุทธมนต์เย็น ปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ ฉันได้บอกลาแก่คณะสงฆ์เอาไว้สองวัน

คือลาว่ามิอาจลงร่วมทำศาสนกิจทำวัตรปฏิบัติธรรมในพระอุโบสถได้เป็นเวลา ๒ วัน คือวันอังคารกับวันพุธ

เพราะต้องออกแต่เช้าและอาจจะกลับเข้าวัดไม่ทันเวลาที่พระลงโบสถ์

เพื่อไม่ให้ผิดธรรมเนียมการปกครองของวัด ฉันจึงแจ้งขออนุญาตแก่คณะสงฆ์

คณะสงฆ์เมื่อได้ได้ทราบถึงความจำเป็นท่านก็เปล่งสาธุอนุญาต
วันนี้ที่จริงแล้วศาลมีหมายนัดให้มาไกล่เกลี่ย ๒ คดี คือ

คดีแพ่งที่ฉันฟ้องเจ้าคุณพิพิธแห่งวัดสุทัศน์ในข้อหาละเมิด

คดีอาญาที่ฉันฟ้องแก่เจ้าคุณประสารและพวกข้อหาละเมิดและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ด้วยการชักชวนคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมกายให้ลงอุกเขปนียกรรมแก่พุทธะอิสระโดยมิชอบต่อกฎหมาย มิชอบต่อกฎนิคหกรรม มิชอบต่อหลักพระธรรมวินัย

การเดินทางมาศาลแพ่งตามหมายเรียกในครั้งนี้ ด้วยเพราะศาลต้องการให้มีการไกล่เกลี่ยกันเพื่อความปรองดอง

ซึ่งก็ต้องดูท่าทีของผู้ถูกกล่าวหาว่าเขาได้มีความสำนึกผิดมากน้อยแค่ไหน

เมื่อได้เวลาศาลนั่งบัลลังก์ ฉันก็เข้าไปในห้องพิจารณาคดี

เห็นเจ้าคุณพิพิธแห่งวัดสุทัศน์มานั่งรออยู่ในห้องพิจารณาคดีและทั้งยังมีบรรดาญาติโยมของวัดอ้อน้อยมานั่งให้กำลังใจกันอยู่เต็มห้อง

เมื่อทุกคนมากันพร้อม ศาลท่านก็ออกนั่งบัลลังก์ พร้อมเรียกมาพูดคุยให้ไกล่เกลี่ยกันโดยให้เข้าไปสู่ห้องไกล่เกลี่ยชั้น ๙

ฉันเดินขึ้นบันไดจากชั้น ๖ ขึ้นชั้น ๙ เพราะไม่อยากขึ้นลิฟท์ อยากออกกำลังกายบ้าง

เมื่อเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยโดยมีท่านอดีตรองประธานผู้พิพากษาฎีกาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ท่านให้ฉันแถลงต่อศาล

ฉันจึงร่ายยาวเริ่มตั้งแต่มหาเถรปฏิเสธว่าไม่มีมติกรณีพระลิขิต ต่อมาพุทธะอิสระเดินทางไปถวายสังฆทานที่วัดปากน้ำ ตามด้วยไปยื่นหนังสือให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภาตรวจสอบพระลิขิตว่าจริงหรือปลอม มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายหรือไม่

เมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภามีมติวินิจฉัยว่าพระลิขิตเป็นของจริง มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย

ต่อมาพุทธะอิสระไปนำคำวินิจฉัยไปแจ้งความร้องทุกข์แก่ดีเอสไอในข้อหากรรมการมหาเถรและเจ้าคณะพระสังฆาธิการของธัมมชโยละเว้นในการปฏิบัติหน้าที่

ทั้งยังไปยื่นให้ป.ป.ช.ตรวจสอบกรณีเจ้าหน้าที่รัฐ คือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

ต่อมามหาเถรมีมติเป็นกรณีพิเศษในวันหยุด รับรองสมเด็จช่วงให้เสนอชื่อเป็นสังฆราชเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้า

ฉันได้แถลงต่อศาลว่าจะให้คนที่เคยถูกชาวบ้านรอบวัดเดินขบวนประท้วงขับไล่กรณีไปพัวพันกับสีกาและต้องคดีครอบครองรถหรูหนีภาษีมาเป็นสังฆราชได้อย่างไร

ส่วนพฤติกรรมของเจ้าคุณพิพิธ เป็นคนชอบพูด บางครั้งก็พูดโดยไม่มีข้อมูลความจริง เอามันเข้าว่า จนกระทบกับผู้อื่นทำให้เกิดความเสียหาย

ท่านเจ้าคุณเป็นถึงรองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง เป็นมหาเปรียญธรรม เป็นเจ้าคุณ แต่กลับพูดพล่อยๆ เลื่อนลอย ไม่รู้จริง ใช้อารมณ์ในการพูดตัดสินว่าพุทธะอิสระเป็นพวกครึ่งคนครึ่งพระ เป็นพระไม่สมบูรณ์ มีลูก มีเมีย อยากมียศศักดิ์

คำพูดเหล่านี้พูดเพื่อหวังผลให้เกิดความเสียหายและทำลายความน่าเชื่อถือในการต่อสู้กับลัทธิธรรมกายและสมเด็จช่วง

พุทธะอิสระจึงต้องมาพึ่งบารมีศาลโดยนำเรื่องราวมารบกวนศาลให้ช่วยวินิจฉัยว่าสิ่งที่พุทธะอิสระทำ พูด คิด มีหลักฐานพิสูจน์ได้ชัดเจน

แต่สิ่งที่เจ้าคุณพิพิธพูดปราศจากพยานหลักฐาน เป็นการกล่าวหาใส่ร้ายแบบเลื่อนลอยและเอามัน ไม่สมสมณวิสัย

อีกทั้งเจ้าคุณพิพิธพยายามจะให้สัมภาษณ์สื่อเพื่อชี้นำว่าพุทธะอิสระมีแบ็คมีอำนาจเหนือรัฐบาล ซึ่งสอดคล้องกับพวกเสื้อแดงและสาวกลัทธิธรรมกายได้นำคำพูดเจ้าคุณพิพิธมาเป็นประเด็นใส่ร้ายและจาบจ้วงสถาบัน

ทั้งที่โดยความจริงแล้วสิ่งที่พุทธะอิสระกระทำ ทำด้วยจิตที่สำนึกกตัญญูต่อแผ่นดินและพระพุทธศาสนา อีกทั้งเพราะรับปากต่อเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชไว้ว่า จะกำจัดอลัชชีให้หมดไปจากพระธรรมวินัย

หาได้มีใครอยู่เบื้องหลังไม่

ต่อมาประธานกรรมการไกล่เกลี่ยจึงได้อนุญาตให้เจ้าคุณพิพิธพูดบ้าง แต่สิ่งที่เขาพูดกลับมีแต่น้ำท่วมทุ่ง ไม่ตรงประเด็น พร้อมทั้งทนายของเขาก็ช่วยพูด

ประธานไกล่เกลี่ยจึงถามว่า

สรุปแล้วท่านเจ้าคุณพูดจริงดังที่ปรากฏในหลักฐานการฟ้องหรือไม่
ทนายและเจ้าคุณได้พยายามอธิบายหลบไปหลบมา

ฉันจึงพูดแทรกขึ้นว่า หากยังทำพฤติกรรมแถไปแถมาเช่นนี้ งั้นวันนี้ก็คงไม่จบ

สิ่งที่ฉันมานั่งฟังการไกล่เกลี่ยวันนี้เพราะอยากฟังจากปากจำเลยว่าจะยอมรับว่าได้พูดจริงดังที่ปรากฏหลักฐานเหล่านี้หรือไม่

ประธานไกล่เกลี่ยจึงกล่าวขึ้นว่า งั้นผมเข้าใจแล้ว

ท่านพุทธะอิสระแค่ต้องการฟังว่า ท่านเจ้าคุณพูดใส่ร้ายบิดเบือนกล่าวหาเขาจริงหรือไม่

ท่านเจ้าคุณพูดจริงไหมครับ ต่อมาทนายของจำเลยจึงรับว่าพูดจริงครับ

เจ้าคุณพิพิธรับว่า พูดจริง

ประธานไกล่เกลี่ยหันมาถามฉันว่า อย่างนี้จบไหม

ฉันตอบว่าหากสำนึกยอมรับความจริงว่าตนได้พลาดพลั้งไปแล้ว ก็ถือว่าจบได้

แต่ควรต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายด้วย

จึงเป็นที่มาพร้อมลงลายมือชื่อเอาไว้เป็นหลักฐานของข้อตกลง ๖ ข้อ นั้นมีดังต่อไปนี้

๑. จำเลยยอมรับว่าได้พูดได้ให้ข่าวให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลข่าวสารหลายครั้งตามคำฟ้องจนเกิดความเสื่อมเสียต่อสิทธิของโจทก์

๒. โจทก์และจำเลยตกลงว่านับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ จำเลยจะไม่พูดไม่ให้ข่าวไม่ให้สัมภาษณ์ หรือไม่ให้ข้อมูลใดๆ พาดพิงถึงโจทก์ หรือ อาจทำให้โจทก์ได้รับความเสื่อมเสียสิทธิอีกต่อไป

๓. จำเลยยอมรับและยินยอมให้โจทก์ให้ข้อมูลข่าวสารให้สัมภาษณ์ถึงการยอมความครั้งนี้ได้

๔. จำเลยยอมชดเชยค่าทนายความให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมศาลในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืน

๕. โจทก์และจำเลยไม่ติดใจเรียกร้องอย่างใดต่อกันอีก และทั้งสองฝ่ายได้ปรับความเข้าใจต่อกันเป็นที่ดีและเป็นอย่างดีแล้ว

๖. หากจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที

เมื่อท่านรองอธิบดีศาลแพ่งเข้ามานั่งเป็นประธานรับฟังการสรุปขบวนการไกล่เกลี่ย

ประธานผู้ไกล่เกลี่ยจึงได้แถลงสรุปคดี

สุดท้ายท่านประธานเปิดโอกาสให้เจ้าคุณพิพิธได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม

ฉันพยายามฟังดูไม่เห็นท่านเจ้าคุณกล่าวคำขอโทษฉันเลย

มีแต่ฉันที่ยกมือไหว้ขอโทษเขาที่ต้องฟ้องร้องเขา

พุทธะอิสระ