ว่าจะไม่พูด ไม่บอก ไม่เขียนแล้วเชียวนา (ตอนที่ ๑)
๑๘ กันยายน ๒๕๖๗
แต่ก็มีผู้เข้ามาถามถึงประเด็นของพระพุทธศาสนาที่กำลังถกกันอยู่ในสังคมเวลานี้
กรณีคำสอนที่ผู้สอนก็ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก แต่ก็พูด ก็บอก ก็สอนออกมาโดยใช้อัตโนมัติของตนเองเป็นประมาณ ซึ่งก็มีคำสอนที่ค่อนข้างอ่อนไหว สุ่มเสี่ยงต่อศรัทธา ความเชื่อดั้งเดิมที่บรรพบุรุษเขาทำเขาเชื่อกันมาเป็นร้อยเป็นพันปี เช่นคำสอนที่เขาสอนว่า
๑. พระไตรปิฎกบกพร่อง (คล้ายๆ กับคำสอนของพวกลัทธิเพ่งลูกแก้วและลัทธิพุทธวจน)
๒. พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ยังมีความโกรธอยู่ (ซึ่งคนทั้งโลกที่นับถือพุทธหากสนใจศึกษา เขาก็จะรู้กันโดยทีอยู่แล้วว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสทั้งปวง สาอะไรกับกิเลสอย่างหยาบ เช่น ความโกรธ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะยังไม่สามารถละได้เชียวหรือ คำสอนนี้ถือว่า เป็นการจาบจ้วง ดูถูก ตบหน้าคนพุทธทั้งโลก ว่าทำไมยังมาหลงงมงายกราบไหว้อยู่กับผู้มีกิเลส แม้กิเลสที่หยาบที่สุด พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกก็ยังละไม่ได้)
๓. ไหว้พระพุทธรูป ก็เหมือนกับไหว้อิฐปูนทองเหลือง ประมาณนี้ ทั้งที่คนทั้งโลกเขาไหว้พระพุทธรูปเป็นประดุจดังตัวแทนของพระพุทธเจ้า แล้วทำการบูชากราบไหว้เพื่อระลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ อีกทั้งเป็นการเจริญพุทธานุสติกรรมฐาน โดยเอาพระพุทธรูปเป็นนิมิต เป็นเครื่องผูกจิตให้ตั้งมั่น
๔. เรื่องการบูชาถวายน้ำแก่พระพุทธรูปไม่ได้บุญ สู้เอาน้ำไปให้หมากินจะได้บุญมากกว่า
ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้ว การบูชาคุณของพระพุทธเจ้ามี ๒ แบบ คือ อามิสบูชา และปฏิบัติบูชา พุทธบริษัททั้งโลกเขาก็ทำกันมา ๒ พันกว่าปีแล้ว แม้ในสมัยที่พระพุทธเจ้าจักทรงเข้าปรินิพพาน พวกเทวดา มาร พรหม และหมู่มนุษย์ทั้งหลาย ก็น้อมถวายเครื่องบูชาสารพัดจะพรรณนามากมาย จนสถานที่ปรินิพพานมีแต่เครื่องบูชาสูงเท่าเข่า เขาก็ทำกันมาแล้ว
ทั้ง ๔ ประเด็นนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำลายความเชื่อ ความศรัทธาของคนพุทธทั้งโลกที่มีมาอย่างช้านาน สังคมจึงมีการหยิบยกขึ้นมาถกถามกันเพื่อหาข้อยุติ
ผู้ที่ถกกันก็มิได้มีเจตนาที่จักไปทำลายใคร เพียงแค่ต้องการรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด แล้วคนที่พูดที่สอนที่บอกใน ๔ ประเด็นนี้รู้จริงแค่ไหน
เรื่องมันก็มีเท่านี้
หากผู้พูดและบริวารจะมาโกรธ ไม่ชอบใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ถือว่าจิตใจคับแคบเกินไป ยังไม่สามารถที่จะละตัวกู อาจารย์กู ของกูลงไปได้ เช่นนี้จะไม่เป็นการลบล้าง หักล้างสิ่งที่ตนเองพร่ำสอนมาตลอดกระนั้นหรือ
นี่คือคำถามของพุทธะอิสระ
การกระทำดี พูดดี คิดดี แต่ก็ไม่ได้หมายถึงต้องมีตัวกูดีนี่นา หากยังมีตัวกูดีอยู่แล้ว นั้นมันอวดดีต่างหากเล่า
นี่คือหลักการแท้จริงของพระพุทธศาสนา
หลักการแท้จริงของพระพุทธศาสนาท่านสอนว่า ให้ทำดีเพื่อทำลายตัวกูมิใช่หรือ
คิดจะสอนคนรุ่นใหม่ แต่ก็ไม่ควรมาเหยียบย่ำ หักล้างความเชื่อ ความศรัทธาของคนรุ่นเก่า
การบูชาไม่ว่าจะเป็นอามิสบูชา หรือ ปฏิบัติบูชา ล้วนมีอานิสงส์ผลดีทั้ง ๒ อย่าง แม้จะแตกต่างกันอยู่บ้าง ก็เป็นไปตามความเชื่อ ความชอบ ตามกำลังสติปัญญา แม้แต่ในราชสำนักก็มีการบูชาด้วยอามิสบูชา แล้วพุทธะอิสระชาวบ้านธรรมดาอย่างเราๆ ทำจะเป็นอะไร
วันนี้พอแค่นี้ก่อน แล้วกัน จะทำงานแล้ว วันหน้าค่อยตอบคำถามของผู้มาถามต่อ
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–
ลิงค์จาก : https://www.facebook.com/photo/?fbid=902155821776688&set=a.107732901218988