สืบเนื่องเรื่องเกิดจากหนังสือเรียกร้อง ร้องเรียนต่อประธานศาลฎีกา
๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖
กรณีให้ทนายอั้นทำหนังสือเรียกร้อง ร้องเรียนไปยังท่านประธานศาลฎีกา นายโชติวัฒน์ เหลืองประเสริฐ และ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ให้ช่วยพิจารณา จัดหา แต่งตั้งองค์คณะใหญ่ของที่ประชุมศาลอุทธรณ์รับเรื่องคดีกบฏของ กปปส. ที่มีผู้พิพากษา ๒ คน เรียกเงินสินบน ๑๗๕ ล้านบาท เพื่อล้มคดี
พุทธะอิสระก็เป็นหนึ่งในหลาย ๑๐ คน ที่มีชื่ออยู่ในคดีการชุมนุมนี้ด้วย
ซึ่งที่ผ่านมาพุทธะอิสระมีศรัทธาและเชื่อมั่นในความสถิต ยุติธรรมของศาลในแต่ละชั้นมาโดยตลอด
หลังจากทนายอั้นไปยื่นหนังสือเรียกร้อง ร้องเรียนดังที่นำมาลงในเฟสให้ท่านทั้งหลายได้อ่านกันไปแล้ว
ก็มีผู้เข้ามาสนทนา ไต่ถามด้วยความห่วงใยในหลายประเด็นที่น่าสนใจ จึงนำมาเขียนเล่าจารึกเอาไว้ให้ปรากฏเป็นประวัติในการต่อสู้ดังต่อไปนี้
ผู้หวังดีถามว่า : ท่านไม่กลัวศาลจะกลั่นแกล้ง พิพากษาเพิ่มโทษให้แก่ท่านหรือ ที่ไปยื่นหนังสือเรียกร้อง ร้องเรียน จนทำให้งานเขาเพิ่ม
ตอบ :
กลัวก็ไม่ร้อง
ที่ร้องก็เพราะไม่กลัว
ติดคุกน่ะยังมีวันออก
แต่หากติดคุกแห่งอารมณ์ที่ถูกกระทำด้วยความอยุติธรรมนั้น เป็นภพ เป็นชาติ ก็ยากที่จะดิ้นหลุดออกมาได้ โดยเฉพาะอารมณ์ที่เกิดจากความอยุติธรรม
มันจะกลับกลายเป็นความพยาบาท อาฆาต ต่อผู้กระทำกันข้ามภพข้ามชาติ และผู้ที่เป็นเหตุให้เกิดความอยุติธรรมนั้น เขาจักต้องได้รับผลกรรมเป็นร้อยเท่าพันทวี
ดูตัวอย่าง เช่น พระเทวทัต ที่ตามล้าง ตามผลาญอาฆาตพยาบาทต่อพระพุทธเจ้าเป็นเวลาถึง ๔ อสงไขยแสนมหากัป
แม้แต่ชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้า พระเทวทัตก็ยังตามมาจองล้างจองผลาญทำร้ายพระพุทธเจ้า จนแผ่นดินสูบพระเทวทัตลงไปตกหมกไหม้อยู่ในอเวจีมหานรกอยู่ในทุกวันนี้
โชคดีที่พุทธะอิสระเป็นผู้ไม่ชอบเสพติดในอารมณ์ แต่กับเป็นผู้ถูกกระทำและจำเลยคนอื่นๆ ที่ผู้พิพากษาทุจริตทั้งหลายได้กระทำต่อพวกเขาไว้หละ พวกเขาจะเดือดร้อน อาฆาต พยาบาท โกรธเคืองขนาดไหน
พุทธะอิสระจึงได้พยายามตัดวงจร บ่วงบาศแห่งความอาฆาตร้ายนี้ให้มันหมดลงไปเสียแต่ในชาตินี้
จึงได้ให้ทนายอั้นทำหนังสือไปเรียกร้อง ร้องเรียนดังกล่าว
ผู้หวังดีถามต่อว่า : ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น ขบวนการพิจารณาคดี ซึ่งพวกผมเห็นว่า ตัวท่านเองก็เคยได้รับและเป็นผู้ถูกกระทำ มันจะทำให้ท่านเปลี่ยนไปเลือกข้างไหม
ตอบ :
คนอื่นฉันไม่รู้
แต่คงไม่ใช่พุทธะอิสระแน่นอน
อย่าว่าแต่กระทำต่อพุทธะอิสระดังที่ปรากฎในสายตาสังคมที่แล้วๆ มาเลย ต่อให้นำตัวพุทธะอิสระไปตัดหัว ประหารชีวิต ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ต้องมาก่อน
เรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องรอง เล็กน้อย
คุณเอ๋ย…หากคุณได้ลงไม้ลงมือประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างจริงจริง จังจัง คุณก็จะได้เห็นว่า
ประโยชน์ส่วนตัวนั้นมาทีหลัง ประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์ชาติ ประโยชน์แผ่นดิน นั้นต้องมาก่อน
แต่หากคุณไม่เคยปฏิบัติธรรม ไม่เห็นธรรม ไม่มีธรรม
คุณก็จะมองเห็นและต้องการแต่ประโยชน์ส่วนตนเองเท่านั้น ชาติ ศาสน์ กษัตริย์จะเสียหาย ล่มสลายไปอย่างไรก็ช่าง ขอให้ตัวกูได้ ตัวกูรอดก็พอ
คิดแบบนี้มันคือ คิดแบบคนเห็นแก่ตัว
เห็นแก่ประโยชน์ตนนั้นไม่เคยมีอยู่ในจิตใจฉัน
หากมี ฉันก็คงไม่ต้องตรากตรำ ลำบากลำบนตระเวนไปร้องเรียน เรื่องทุจริตคดีเงินทอนวัด เรื่องซื้อขายตำแหน่งของกรรมการมหาเถระสมาคมในยุคก่อน หรือเรื่องประพฤติผิดธรรม ผิดวินัยของไอ้เณรคำ ทำให้พระธรรมวินัยวิปริตของพวกลัทธิธรรมกาย
และสุดท้าย ก็ออกไปตั้งเวทีเรียกร้องให้รัฐยื่นมือเข้ามาปฏิรูปวงการคณะสงฆ์ จนนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในคณะสงฆ์ดังที่ปรากฏ
เรื่องอย่างนี้คนไม่มีธรรม ไม่เห็นธรรม คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เขาไม่ทำกันดอก เพราะทำแล้วก็จะมีสภาพอย่างที่ฉันได้รับอยู่นี่ไง
แล้วใครจะกล้าทำหละ
แต่พุทธะอิสระไม่สน
เพราะพุทธะอิสระไม่ได้มีตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล เหมือนกับพวกด้อมส้มเขาทำกันอยู่ในทุกวันนี้
ตัวพุทธะอิสระมันเล็กกระจิ๋ว น้อยนิด ดังผงธุลี ไม่มีราคาใดๆ ที่ต้องให้ห่วง แต่ที่ห่วงคือ
ชาติต้องมั่นคงเจริญ
ศาสนาต้องเป็นที่เคารพบูชาของผู้คน
สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องมั่นคงยั่งยืน
ส่วนตัวฉันมันก็แค่ผู้มาอาศัย
นี่คือหลักคิดของฉัน
ฉะนั้นคุณไม่ต้องกังวลว่า ฉันจะเปลี่ยนไปเลือกข้าง
พุทธะอิสระ
——————————————–