5 นาทีบรรลุ “บิ๊กต็อก”แจง ปมรถ”สมเด็จช่วง” จาบจ้วงตรงไหน?? ถ้าผิดลาออก

0
170

ทันเหตุการณ์กับหลวงปู่พุทธะอิสระ

5 นาทีบรรลุ “บิ๊กต็อก”แจง ปมรถ”สมเด็จช่วง” จาบจ้วงตรงไหน?? ถ้าผิดลาออก

๒๐  มีนาคม  ๒๕๕๙

“บิ๊กต๊อก”แจงยิบขั้นตอนก่อนเข้าพบ “สมเด็จช่วง”ถามสังคม”ผมจาบจ้วงตรงไหน”ยันทำทุกขั้นตอนให้เกียรติ ลั่น ถ้าผิจะลาออก ไม่ต้องให้นายกฯปลดพ้นเก้าอี้ รมว.ยุติธรรม

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 มีนาคม ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม แถลงถึงกรณีถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ จาบจ้วง และการเตรียมออกหมายเรียกสอบสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในฐานะผู้ครอบครองรถยนต์โบราณ ยี่ห้อเมอร์เซเดสเบนซ์ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพฯ ว่า ไม่อยากให้เป็นข้อพิพาทกับใคร และไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของการตอบโต้บนหน้าสื่อ สิ่งที่อยากแก้ไขปัญหาคือเชิญคนที่ไม่เข้าใจมาพูดคุยกัน ซึ่งมีหลายเรื่องที่ผ่านมา คือเมื่อเกิดความไม่เข้าใจก็จะเชิญมาพูดคุย

พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า เป็นไปได้ที่เขาจะไม่เข้าใจ หรือเข้าใจแต่อาจจะพยายามไม่เข้าใจเพื่อผลประโยชน์ก็ได้และโดยเฉพาะเป็นนักการเมือง ตนก็รู้ว่าตนเป็นนักการเมือง ก็จะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เราพูดไปเป็นประโยชน์ของกลุ่มตนเองไปเรื่อย อีกทั้งเคยพูดว่าเราพูดอะไรไปมันก็จะหยิบไปใช้ประโยชน์ ซึ่งไม่ต้องการเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ตนเป็นรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องนี้ และเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายคสช.ด้วย ดังนั้น การพูดอะไรไปก็เป็นธรรมดา เพราะคนจะหยิบไปเป็นประเด็น สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เห็นในโซเชียลมีเดียแล้วว่ามีทั้งคนที่ออกมาต่อว่า และชื่นชม โดยเอาคำพูดที่เป็นประโยชน์ของตนไปใช้ในกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ ทั้งเชียร์และไม่เชียร์ ซึ่งก็เฉยๆ ไม่ได้คิดอไร แต่ต้องขอร้องและว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ ยืนยันว่าทำตามกฎหมาย แต่เมื่อทำแล้วก็ถูกหยิบไปใช้เป็นผลประโยชน์ ก็ระมัดระวังมาตลอด

พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวอีกว่า สำหรับคดีรถยนต์หรูนั้น ได้สั่งการให้ตรวจสอบรถยนต์หรู 7,000 กว่าคันแล้ว เพื่อไม่ให้สังคมมองว่าเลือกปฏิบัติ แต่ในทางกฎหมายแล้ว เมื่อมีผู้ร้องเรียนมาก็ต้องทำเป็นเฉพาะรายไปก่อน ซึ่งอันนี้ทางเจ้าหน้าที่เป็นคนชี้แจงตน จึงได้ถามกลับเจ้าหน้าที่ว่าคำพูดที่สังคมถามว่าเลือกปฏิบัตินั้น มันตอบกันอย่างไร และทำไมต้องทำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ตอบเหมือนที่ตนตอบ

ส่วนประเด็นที่สมเด็จช่วงเข้ามาเกี่ยวข้องคือรถหรูคันนี้สมเด็จช่วงเป็นผู้ครอบครองรถ ซึ่งตนเคยพูดแล้วว่าเราต้องตรวจสอบให้ได้ว่ารถคันนี้ผิดหรือถูกอย่างไร จึงจะเดินหน้าตรวจสอบต่อ ซึ่ง 1.ดีเอสไอตรวจสอบแล้วว่ารถคันนี้ผิดกฎหมาย ตนก็ไม่ได้ชี้แจงเอง 2.หลังทราบว่ารถผิดและทราบว่าผู้ที่มีชื่อครอบครองรถคือสมเด็จช่วง จึงเรียกเจ้าหน้าที่ที่กำกับดูแลทั้งหมดมาพบ เพราะสมเด็จช่วงมีอยู่ 2 สถานะที่เราต้องระมัดระวัง คือ สถานะทางสังคม และกรณีเป็นชื่อรับสิ่งผิดกฎหมายในทางกฎหมาย

พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้จึงเรียกเจ้าหน้าที่มาและลงมากำกับดูแลเรื่องนี้ ซึ่งปกติหากเป็นเรื่องอื่นในกระทรวง ตนจะมอบเป็นนโยบายท่านั้นและไม่ได้ลงรายละเอียด แต่เรื่องนี้ยอมรับว่าเป็นเข้าไปดูเพราะเป็นห่วงเรื่องสถานะทางสังคมของสมเด็จช่วง โดยตนได้สอบถามพนักงานสอบสวนว่าคดีในลักษณะนี้เป็นคดีอะไร ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าเป็นคดีอาญา และได้สอบถามต่อว่าขั้นตอนจะเป็นอย่างไร พนักงานสอบสวนชี้แจงว่า จะต้องออกหมายเรียกโดยเจ้าพนักงาน ซึ่งเรื่องนี้ดีเอสไอสามารถดำเนินการได้เลย

ทั้งนี้ พนักงานชี้แจงด้วยว่า หมายเรียกจะต้องมีสองสถานะคือในฐานะพยานหรือหมายเรียกของผู้ต้องหา ซึ่งเป็นหลักตามกฎหมายอยู่แล้ว ตนจึงเรียนว่าเราทำเป็นหนังสือได้หรือไม่ เนื่องจากสถานะทางสังคมของสมเด็จช่วง จึงสั่งให้ทำเป็หนังสือเพื่อประสานและให้ปากคำได้หรือไม่ และต้องดูว่าผิดหลักกฎหมายหรือไม่ ทางดีเอสไอก็ตอบว่าทำได้ จึงให้เป็นหนังสือ แต่ในนั้นไม่ได้ระบุว่าเป็นพยานหรือผู้ต้องหา เพราะมันไม่ใช่หมายเรียก อีกทั้ง การเรียกว่า”หมาย”มันเหมาะสมหรือไม่กับสถานะทางสังคม จึงบอกว่าให้ออกเป็นหนังสือไปกราบท่านจะดีกว่า

พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวอีกว่า หลังทราบรู้ว่ารถผิดกฎหมาย และตามหลักแล้วเราก็ต้องไปยึดรถโดยพนักงานสอบสวน จึงถามว่าเราไม่ต้องทำเหมือนคดีอื่นได้หรือไม่ โดยการไม่ส่งเจ้าหน้าที่ไปยึดรถ เพราะเชื่อว่ารถไม่ได้หายไปไหน ซึ่งดีเอสไอตอบว่าสามารถทำได้ และยังทราบว่าทางวัดมีเจตนาจะคืนรถอยู่แล้ว แต่จะส่งคืนอู่ ดังนั้น ดีเอสไอจึงประสานไปว่าไม่สามารถส่งคืนอู่ได้ เพราะสิ่งผิดกฎหมายต้องส่งให้รัฐเท่านั้น กระทั่ง ทางวัดนำรถมาส่งคืนให้ดีเอสไอ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 ที่พยายามไม่ต้องการให้เกิดการจาบจ้วง ส่วนเรื่องที่ 3 ที่สั่งการคือให้นำธูป เทียนแพไปกราบสมเด็จช่วง อย่าทำแบบธรรมดา ในสถานะทางสังคม 4.ต้องเป็นระดับอธิบดีหรือรองอธิบดีเท่านั้นจะเป็นเจ้าพนักงานในการสอบสวนสมเด็จช่วง 5.การกำหนดสถานที่นั้น ให้เป็นหน้าที่ของทางวัดในการกำหนด และตนได้กำชับไปว่าให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสม อย่าประเจิดประเจ้อ 6.กรณีมีการประสานว่าต้องการนำทนายความเข้าไปร่วมฟังการสอบปากคำ จึงถามว่าทำได้หรือไม่ พนักงานสอบสวนบอกว่าได้ แต่ไม่สามารถตอบแทนสมเด็จช่วงได้

รมว.ยุติธรรม กล่าวต่อว่า จากนั้น เมื่อไปดำเนินการเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ก็มารายงานตนว่า ในวันที่เข้าพบสมเด็จช่วง เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ถูกปลดโทรศัพท์ ซึ่งตนก็มองว่าไม่เป็นไร เพราะเครื่องมือในการบันทึกเสียงก็ยังมีอย่างอื่น และทราบอีกว่า ไม่มีการสอบปากคำ จึงเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะก่อนหน้านั้น เป็นเรื่องที่อธิบดีดีเอสไอรายงานว่าได้นัดหมายกันแล้วและเป็นที่เข้าใจกันเรียบร้อยแล้วว่าจะเป็นการให้การสอบปากคำ ซึ่งเชื่อว่ามีการตกลงกันเรียบร้อย บนสถานะที่ตนได้ดำเนินการ เมื่อไม่ให้ปากคำก็บอกให้เจ้าหน้าที่กลับ และมีนักข่าวพยายามจะสัมภาษณ์จำนวนมาก อย่าใช้สถานที่ตรงนั้นเป็นสถานที่ตอบโต้กับทนายหรือลูกศิษย์ เพราะมันไม่มีความจำเป็น เมื่อไม่เป็นความประสงค์ก็ไม่ต้องใช้สถานที่ของสมเด็จช่วงในการตอบโต้ เพราะไม่ต้องการให้เรื่องนี้ไปอยู่ตรงนั้น

“ผมให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไปว่า ผมไม่มีความเชื่อเลยว่าสมเด็จช่วงจะเป็นผู้สั่งหรือดำเนินการ ผมมั่นใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของทนายกับลูกศิษย์ลูกหาที่คิด เพราะอะไร เพราะผมทราบจากการรายงานตอนหลังว่า มีกลุ่มสองกลุ่มภายใน อีกกลุ่มบอกให้สอบ อีกกลุ่มบอกไม่ให้ เกิดขัดแย้งกันภายใน เพราะฉะนั้น จึงไม่เชื่อว่าสมเด็จช่วงจะเป็นคนสั่ง จึงบอกทนายและลูกศิษย์ให้ระมัดระวัง ผมพูดเสมอว่า ผมเป็นคนให้เกียรติในฐานะทางสังคมของสมเด็จช่วงมาตลอดทุกขั้นทุกตอน จึงได้บอกว่าพวกท่านเองจะทำให้สมเด็จช่วงเสียเกียรติหรือเปล่า ซึ่งต้องไปคิดดู เพราะไม่มีใครไม่ทราบหรอกว่าในวันที่ 16 มี.ค.นั้น จะไม่ใช่การเข้าสอบปากคำ” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว

พล.อ.ไพบูลย์ ยังกล่าวว่า หลังจากนั้น ก็ได้ถามว่าอธิบดีดีเอสไอว่า จะทำตามข้อเสนอที่ทางทนายความเรียกร้องมาหรือไม่ ทางอธิบดีก็บอกว่าไม่กระทำเพราะไม่เคยปฏิบัติและไม่เคยกระทำ การสอบปากคำสถานะพยานหรือผู้ต้องหาก็ไม่ได้ทำทั้งสิ้น จึงไม่ยื่นหนังสือตามข้อเรียกร้อง จึงถามว่าแล้วจะกระทำอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่าต้องออกหมายเรียก ซึ่งอันนี้เริ่มเป็นประเด็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งจำได้หรือไม่ว่าคดีนี้เป็นคดีอาญา และตนถามทุกขั้นตอนว่าจากนี้จะทำอะไร เพราะตนไม่ใช่นักกฎหมาย การทำหนังสือก็ถือว่าให้เกียรติให้การเคารพแล้ว และพูดด้วยว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตนจะไม่เข้าไปก้าวก่ายแล้ว เพราะเป็นเรื่องของอธิบดีและพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการ และหากออกหมายเรียกแล้วไม่มามันก็ต้องเป็นหมายจับ หรือใครว่ามีวิธีการอื่น เพราะตนก็ตอบตามพนักงานสอบสวน ส่วนการออกหมายจับนั้น ไม่ใช่อำนาจของดีเอสไอ ซึ่งต้องไปยื่นคำร้องขอต่อศาล ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นดุลพินิจของศาลจะออกหมายจับให้หรือไม่ เป็นขั้นตอนของกฎหมาย ไม่มีสิ่งใดที่ดีเอสไอจะไม่กระทำต่อแนวทางนี้ได้เลย การที่เราทำตามกฎหมายแล้วเป็นสิ่งจาบจ้วงกระนั้นหรือสังคมก็ต้องพูดไป

พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า โดยปกติการเรียกพระภิกษุสงฆ์เป็นพยานจะไม่ออกหมายเรียก แต่นั่นคือคดีแพ่ง ส่วนคดีอาญาในฐานะพยานนั้นมันไม่มีกำหนด เพียงแต่อยู่ในดุลยพินิจว่าจะเทียบเคียงหรือไม่ ซึ่งเป็นดุลยพินิจของเจ้าพนักงานสอบสวน เมื่อตนถามว่าผิดกฏหมายหรือไม่ คำตอบคือไม่ผิด ถ้าพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกเป็นพยานไม่ผิดกฎหมาย ได้ถามย้ำหลายครั้ง แต่คดีแพ่งการออกหมายเรียกพระภิกษุสงฆ์นั้น การออกหมายเรียกเป็นพยานในคดีแพ่งนั้นไม่กระทำ แต่การออกหมายเรียกคดีอาญาไม่มีข้อกำหนด จะเทียบเคียงหรืออย่างไรก็อยู่ในดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน ตนจึงให้สัมภาษณ์ว่าอาจจะออกหมายเรียกเป็นพยานหรืออาจเป็นผู้ต้องหาก็ได้ ซึ่งวันนี้ตนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่าง เพราะจะไม่เข้าไปยุ่งอีกแล้ว อยู่ในดุลยพินิจของดีเอสไอว่าจะเรียกในฐานะอะไร

“เราเข้าใจดีว่าในคดีแพ่งเรียกไม่ได้ แต่คดีอาญาในฐานะพยานไม่ทราบ แต่โดยปกติแล้วคดีนี้เป็นคดีอาญา โดยปกติแล้วคดีที่มีผู้ครอบครองสิ่งผิดกฎหมายมีชื่อตัวเองชัดเจนแล้ว มักจะออกเป็นอะไร คุณก็ตอบเอาเอง ซึ่งผมไม่รู้ว่าอธิบดีเขาจะเรียกเป็นอะไร ผมไม่รู้ว่าอธิบดีเขาจะใช้ฐานะเทียบเคียงคดีแพ่งพยานเรียกหรือไม่เรียกผมไม่ทราบ เพราะผมบอกแล้วว่าจากนี้ไปผมจะไม่ยุ่ง เพราะการให้เกียรติสมเด็จช่วงตามฐานะทางสังคมผมได้ทำทุกขั้นตอนแล้ว และขั้นตอนสุดท้ายก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาจะต้องทำเป็นขั้นๆแบบนี้ เพราะฉะนั้น ที่ทนายพูดบอกว่าเรียกมาในฐานะพยาน ผมขอถามว่าคุณรู้แล้วหรือว่าพนักงานสอบสวนเขากำหนดเป็นฐานะพยาน เขายังไม่กำหนดเลย และไม่มีใครทราบหรอกว่าพนักงานสอบสวนจะกำหนดในฐานะอะไร ซึ่งผมก็ไม่ทราบและจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว

พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนทำมาจาบจ้วงตรงไหน อันนี้อาจจะเป็นคำถามที่ลูกศิษย์ลูกหาเขียนเยอะแยะไปหมด ถ้าข้องใจก็ให้โทรศัพท์หาตนและกัน ทั้งนี้ ยืนยันว่าพูดตามที่สื่อเขียน เพราะตนให้สัมภาษณ์อย่างนั้นว่าจากหมายเรียกเป็นหมายจับ เพราะคดีอาญามันเป็นอย่างนี้ และไม่มีใครไปหลีกเลี่ยงอยู่ใต้กฎหมายได้เลย ทั้งนี้ ถ้าหากเป็นหมายจับ ก็ไม่ทราบด้วยว่าศาลจะออกให้หรือไม่ เพราะเป็นดุลยพินิจของศาล

“ผมจึงอยากถามสังคมว่า พล.อ.ไพบูลย์ไปจาบจ้วงตรงไหนแค่นั้นเอง ซึ่งทั้งหมดที่ผมเข้ามาในคดีนี้เพราะเป็นห่วงเรื่องสถานะทางสังคมของสมเด็จช่วง พล.อ.ไพบูลย์ไม่ใช่คนดีเท่าไร ผมก็แค่คนที่ถือศีล 5 ถือบ้างไม่ถือบ้าง เพราะฉะนั้น คำว่า “มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ” มันไม่ได้พูดถึงเรื่องโกหกอย่างเดียว ผมเข้าใจว่าในคงเป็นการพูดไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือสัจจะ วาจา ที่ให้กันไว้ทางสังคม ซึ่งผมก็บอกแล้วว่าผมแค่คนศีล 5 แต่คนที่อยู่ในสถานะทางสังคหลายคนที่ออกมาทางสื่อที่มีฐานะทางศีลธรรมสูงกว่าผมเยอะ ก็เป็นเรื่องที่สังคมต้องมองกัน การพูดให้สังคมได้เข้าใจอย่างนั้นอย่างนี้ โดยไม่ถ่องแท้ ก็ยังน่าให้อภัยได้บ้าง แต่การไม่ถ่องแท้ของท่านทำให้คนอื่นเสื่อมเกียรติ มันก็คงเป็นการมุสาหรือไม่” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว

พล.อ.ไพบูลย์ ยังกล่าวถึงกรณีเสนอให้ปลดตนออกจากการเป็นรัฐมนตรีว่า เคยพูดหลายครั้งแล้วว่า ถ้าตนไม่มีมาตรฐานในการเป็นรัฐมนตรีได้แล้ว ไม่ต้องมาเปลี่ยนกระทรวงให้จะลาออกเอง ขอให้สิ่งเหล่านั้นมันเป็นข้อจริง และตนก็พูดกับนายกรัฐมนตรีแล้วว่าอย่าปรับตนออกบนพื้นฐานการทำงานเป็นรัฐมนตรีที่ไม่มีประสิทธิภาพ ก็ไม่สมควรจะไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงอื่น เพราะหลายครั้งมีชื่อตนอยู่กระทรวงนั้นกระทรวงนี้ ซึ่งตนพิจารณาตัวเองอยู่แล้วว่าถ้าวันหนึ่งทำไม่เป็นมาตรฐานของตัวเองแล้ว จะพิจารณาตัวเองแน่นอน อย่าปรับไปนั่นไปนี่เพียงแค่ต้องการรักษาเกียรติของตน ถ้าสิ่งเหล่านั้นตนทำผิดอะไรก็พูดมาให้ชัดและตนจะพิจารณาตัวเอง

“ผมจำเป็นต้องลงมากำกับดูแลเรื่องนี้ เพราะเป็นห่วงเรื่องสถานะทางสังคม และรู้ตัวเลยว่า เมื่อลงมาดูแลแบบนี้จะต้องโดนแน่ และได้เรื่องจริงๆ ผมเป็นคนสั่งทุกขั้นตอน จึงจำเป็นที่จะต้องออกมาปกป้องลูกน้องผม ไม่ใช่เป็นคนที่มาลอยตัวเหนือปัญหาและลูกน้องมาถูกเยียบย่ำ ซึ่งผมไม่ทำ สื่อลงมากมายว่าดีเอสไอเสียหน้า ผมบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวผมให้สัมภาษณ์เอง เพราะผมเป็นคนสั่ง แต่จากนี้เป็นตนไปผมจะไม่พูดอีกแล้ว” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว

ขอขอบคุณ matichon tv และ มติชนออนไลน์