วงการสงฆ์จะต้องมีธรรมาภิบาลกว่านักการเมืองน้ำเน่า

0
112

ทันเหตุการณ์กับหลวงปู่พุทธะอิสระ

วงการสงฆ์จะต้องมีธรรมาภิบาลกว่านักการเมืองน้ำเน่า

๑๐  มีนาคม  ๒๕๕๙

180359-ทันเหตุการณ์กับหลวงปู่พุทธะอิสระ--วงการสงฆ์จะต้องมีธรรมาภิบาลกว่านักการเมืองน้ำเน่า

เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2559 หลังการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ครั้งที่ 6/2559 สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานการประชุม

นายประดับ โพธิกาญจนวัตร รองโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้แถลงผลประชุม และตอบคำถามสื่อมวลชน

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่แชร์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณการปฏิบัติพระศาสนกิจ ตามพระอัธยาศัย ที่รัฐบาลถวายแด่สมเด็จพระสังฆราชเป็นประจำทุกปี กว่า 20 ล้านบาท ปัจจุบัน รัฐบาลจ่ายงบจำนวนดังกล่าวต่อผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หรือไม่?

นายประดับ กล่าวว่า ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช โดยธรรมเนียมปฏิบัติ รัฐบาลจะจัดงบประมาณถวายในการปฏิบัติพระศาสนกิจ ตามพระอัธยาศัยเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว ส่วนตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชนั้น ตนต้องขอไปตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของงบประมาณในการปฏิบัติศาสนกิจที่รัฐบาลต้องถวายก่อนว่ามีการถวายไปหรือยัง อย่างไรก็ตาม โดยหน้าที่ตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชนั้น ก็ควรจะต้องมี เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวก็ต้องรับการโปรดเกล้าฯ มีการปฏิบัติศาสนกิจเหมือนสมเด็จพระสังฆราชทุกประการ เช่น การลงนามในพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชแต่งตั้งพระสังฆาธิการ เป็นประธานกรรมการ มส. ฯลฯ ต่างกันเพียงแต่อิสริยยศเท่านั้น ทาง พศ. จะสอบถามเรื่องนี้อีกครั้ง

ประเด็นนี้ เมื่อถูกเปิดออกมาแล้ว พศ.จะต้องนำไปสู่การชี้แจงแถลงไขให้สิ้นสงสัย

มิฉะนั้น จะถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งปมปัญหา ข้อครหา หรือแม้กระทั่งช่วยปกปิดความจริงอะไร หรือไม่?

เพราะจากคำตอบต่อคำถามของสื่อมวลชนข้างต้น ยังไม่มีความกระจ่างแจ้งเลย

1) เมื่อแกะรอย เข้าไปดูการตั้งคำถามต่อประเด็นนี้ในโซเชียลมีเดียพบว่า ก่อนหน้านี้ ได้มีการตั้งประเด็นตรวจสอบในลักษณะสอบถามไปที่สมเด็จช่วง ความว่า

“กราบนมัสการ พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณสมเด็จช่วงฯ วัดปากน้ำ(ผู้แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราช

ขอโอกาสกราบนมัสการเรียนถามมาด้วยความเคารพ ณ ที่แห่งนี้ครับว่าตามที่มีข่าวว่า อดีต ผอ.สำนักพุทธศาสนา นาย… ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเบิกเงินจากกระทรวงการคลัง จำนวน 23 ล้านบาท (ซึ่งเป็นเงินที่รัฐบาลจัดถวายในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช) เป็นประจำทุกปี เพื่อใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย มิใช่เงินประจำตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเงินจำนวนนี้นั้นมีการถวายมาเป็นประจำทุกปี

แต่ครานี้ นาย…ในตำแหน่ง ผอ.สำนักพุทธฯ ได้ยักย้ายเงินดังกล่าวนี้ไปถวายสมเด็จช่วง วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่ามกลางเสียงท้วงติง ในที่ประชุมของ สำนักพุทธฯ

เมื่อมีเสียงท้วงติงและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ไม่ยอมทำในสิ่งผิดนั้น นาย… อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ จึงนำไปถวายสมเด็จช่วงวัดปากน้ำ ด้วยตนเอง พร้อมพนักงานขับรถ และผู้ติดตาม (รวมจำนวน 3 ราย) หากแต่เงินจำนวน 23 ล้านบาทนี้ ได้อนุมัติจ่าย(เพื่อจัดถวาย)มาก่อนที่ สมเด็จพระสังฆราช ยังไม่สิ้นพระชนม์ ยังมีพระชนม์อยู่ และยังไม่ถวายพระเพลิงสมเด็จพระสังฆราช และยังไม่มีการสถาปนาพระสงฆ์รูปใด ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช

ทั้งนี้ หากท่านเจ้าคุณสมเด็จช่วง อยากได้เงินจำนวนนี้นั้น เห็นควรยิ่งที่ต้องนำส่งคืนถวายสมเด็จพระสังฆราช ไปก่อน(ตามขั้นตอน) และเมื่อความจำเป็นต้องใช้เงินด้วยเหตุใดใดก็ตาม ควรทำหนังสือกราบบังคมทูลขอเงินนี้ จากสมเด็จพระสังฆราชต่อไป เพื่อที่จักได้เป็นที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป…

…ทั้งนี้ ข้าพเจ้าเองเป็นผู้มีสติปัญญาน้อย ไม่ทราบข่าว ว่าเรื่องดังกล่าวนี้เป็นมาเช่นใด จึงอยากให้ท่านเจ้าประคุณผู้แทนพระองค์สมเด็จฯ โปรดอธิบายให้เป็นที่ประจักษ์ชัดถ้อยทีเถิด เพราะเรื่องนี้ มีผู้กล่าวถึงกันมากแล้วนักจึงไม่อยากให้เป็นที่เสื่อมพระเกียรติยศของพระคุณท่าน หากความทราบด้วยญาณวิถีใดใด ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการขอขมาอภัยอันซึ่งโทษล่วงเกินมานี้ ณ โอกาสนี้ ก็เพราะด้วยความเคารพยิ่งนักในพระเกียรติแห่งท่านเจ้าประคุณผู้แทนพระองค์สมเด็จฯ ส่วนตัวของอดีต ผอ.สำนักพุทธฯ ท่านก็จะได้อธิบาย ข้อครหาต่างๆ ของท่านให้ทุกคนเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งต่อไปด้วย…”

นี่คือข้อมูลที่ปรากฏแพร่หลายอยู่ในสื่อโซเชียลมีเดีย

2) เรื่องนี้ นับเป็นประเด็นสำคัญ เกี่ยวกับเงินของแผ่นดิน

อย่าลืมว่า ในอดีต เคยมี ป.ป.ช.ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก เพราะทำ
ความผิดเกี่ยวกับการขึ้นเงินเดือนให้ตนเองโดยมิชอบด้วยกฎหมายมาแล้ว

3) เมื่อตรวจทานไปในการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ปรากฏว่า ประเด็นเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ในวงการปกครองคณะสงฆ์นั้น เคยมีการร้องเรียนเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบได้ดำเนินการตรวจสอบ แต่ยังไม่ปรากฏผลการตรวจสอบ

พระพุทธะอิสระได้ยื่นเรื่องให้ดีเอสไอและผู้ตรวจการดินตรวจสอบไว้แล้ว

3 มี.ค. 2558 หลวงปู่พุทธะอิสระได้ไปยื่นหนังสือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อ

(1) ขอให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และทรัพย์สินของเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และกรรมการมหาเถรสมาคม และการเบิกจ่ายเงินประจำตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช และเงินประจำตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ว่าใช้จ่ายตรงต้องตามวัตถุประสงค์หรือไม่

(2) ขอให้รับคดีการขอพระราชทานสถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์ระดับพระราชาคณะชั้นเทพให้แก่บุคคลที่ขาดจากการเป็นพระ เป็นคดีพิเศษ

6 มี.ค. 2558 พระพุทธะอิสระ ยื่นสำนักงานผู้ตรวจเงินแผ่นดิน ให้กรุณาตรวจสอบทรัพย์สินและเส้นทางการเงินของกรรมการมหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รวมถึงมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย รายละเอียดปรากฏในเฟซบุ๊ค “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ระบุว่า

“ด้วยฉันสงสัยว่า ตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปี 2554 วัดพระธรรมกาย โดยนายธัมมชโย และนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ซึ่งมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับกรรมการมหาเถรสมาคมหลายรูป โดยผ่านวัดปากน้ำและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เฉพาะปี 2554 ได้มีการอวยยศให้แก่นายธัมมชโย ผู้ต้องอาบัติปาราชิกไปแล้ว แต่มหาเถรและสำนักพุทธฯก็ยังดันทุรัง เสนอชื่อนายธัมมชโย ขอพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นถึงพระเทพญาณมหามุนีอีกทั้งยังมีพยานหลักฐานทำให้น่าเชื่อว่า เงินของธรรมกายและสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนได้ไหลมาสู่มือกรรมการมหาเถรสมาคม บางส่วนบางรูปในช่วงปี 2540-2554เฉพาะเจ้าอาวาสวัดปากน้ำมีทรัพย์สินและเงินจากธรรมกายไหลเข้าสู่วัดปากน้ำไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท รวมทั้งเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แม้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยก็ไม่เว้น ฉันจึงมาขอร้องให้ สตง.ช่วยตรวจสอบ

-เส้นทางการเงินที่วัดพระธรรมกายและนายธัมมชโยว่าจ่ายให้แก่กรรมการมหาเถรสมาคมและวัดปากน้ำ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีความเชื่อมโยง เกี่ยวพันกับเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน หรือไม่

-งบประมาณที่รัฐอุดหนุนให้แก่มหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาและมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถูกใช้จ่ายเป็นไปตามระเบียบของทางราชการที่กำหนดเอาไว้หรือไม่ โปร่งใส ได้ประโยชน์ ตรงจุด และสอดคล้องกับระเบียบของทางราชการหรือไม่

-เงินที่รัฐอุดหนุนถวายให้เป็นเงินประจำตำแหน่งของสมเด็จพระสังฆราชปีละ 20-30 ล้าน เพื่อทรงใช้สอยเพื่อศาสนสงเคราะห์ ตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์ลง ปรากฏว่ายังมีการเบิกจ่ายอยู่ ใครเป็นคนเบิก จ่ายเพื่อการใด และเงินก้อนนี้อยู่ในความดูแลของใคร ได้ใช้จ่ายไปอย่างถูกต้องตามระเบียบการเงินการคลังหรือไม่

-ขอให้ตรวจสอบว่า เงินประจำตำแหน่งของผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชใช้ถูกระเบียบหรือไม่

-ขอให้ตรวจสอบเงินงบประมาณที่รัฐอุดหนุนให้แก่มหา’ลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง ว่าถูกใช้จ่ายไปอย่างถูกระเบียบหรือไม่ โปร่งใสคุ้มค่าหรือเปล่า

-ขอให้ตรวจสอบเงินงบประมาณที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเบิกจ่ายไปว่าถูกต้องโปร่งใสหรือเปล่า

-ขอให้ตรวจสอบการใช้เงินและทรัพย์สินของศาสนสมบัติกลาง มหาศาลเป็นหมื่นล้าน ว่ามีหน่วยงานใด ผู้ใด เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ทุจริต ยักยอกเบียดบังเอาไปเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องบ้าง”

ทั้งหมดนี้ ก็ยังไม่ปรากฏผลการตรวจสอบออกมาเช่นกัน

4) ในโอกาสนี้ มส. และพศ. ไม่สามารถปัดความรับผิดชอบที่จะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงแก่พุทธบริษัทสี่ ตลอดจนสาธารณชนให้กระจ่างชัดในประเด็นสำคัญทั้งหมดนี้

อย่าลืมว่า ประเด็นอื่นๆ ปรากฏว่า พศ.ได้รีบออกมาอธิบายความโดยไม่ต้องรอผลการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเลยด้วยซ้ำ เช่น กรณีรถเบนซ์ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ก็บอกว่าผู้ครอบครองไม่มีความผิด เป็นต้น

แต่กรณีเหล่านี้ เป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ ผลประโยชน์มหาศาล เกี่ยวข้องกับ พศ. และ มส.โดยตรง หากบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเจตนาจะร่วมปกปิดสิ่งใด
จะต้องชี้แจงไปในคราวเดียวกันโดยด่วนที่สุด

วงการสงฆ์จะต้องมีธรรมาภิบาลกว่านักการเมืองน้ำเน่า!

ขอขอบคุณ  แนวหน้า