ทันเหตุการณ์กับหลวงปู่พุทธะอิสระ
“ไพบูลย์” งัดหลักฐาน บี้มหาเถรสมาคมฟัน “ธัมมชโย” ปาราชิก! หากเฉยโดนละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ?
๑๖ มีนาคม ๒๕๕๙
อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องติดตามคือ เกี่ยวกับสมณะความเป็นสงฆ์ของพระธัมมชโยเพราะล่าสุดในวันนี้ อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ กรณียื่นคำร้องต่อประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้วินิจฉัยการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของมหาเถรสมาคม (มส.) และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในกรณีพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช
นายไพบูลย์ นิติตะวัน กล่าวว่า ได้ตรวจสอบโดยพบหลักฐานข้อเท็จจริงและแนวทางที่เคยปฏิบัติ คือ สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชได้ลงพระนามประกาศใช้ กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538) ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ ณ วันที่ 22 มี.ค. 2538 และเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2538 มหาเถรสมาคม ได้มีการประชุมครั้งพิเศษ 3/2538 พิจารณาเห็นว่า พระวินัย อมโร ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยหลายเรื่อง จึงลงมติให้พระวินัย อมโร สละสมณเพศต้องสึกภายใน 3 วัน นับแต่วันทราบหรือถือว่าทราบวินิจฉัยนี้ ทั้งนี้ไม่กระทบต่อการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมที่กำลังดำเนินการอยู่ ดังนั้นมหาเถรสมาคมจึงมีอำนาจในการพิจารณาให้พระวินัย อมโรหรือพระยันตระ สละสมณเพศได้โดยไม่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนการลงนิคหกรรม
การใช้อำนาจของมหาเถรสมาคมตามกฎมหาเถรสมาคมฯ ที่ให้พระยันตระสละสมณเพศในการกระทำผิดครุกาบัติได้นั้น ย่อมนำมาใช้กับกรณีพระธัมมชโยที่กระทำผิดครุกาบัติได้เช่นเดียวกัน เพราะเมื่อสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชได้มีพระลิขิตแล้วส่งไปให้มหาเถรสมาคมพิจารณาในวันที่ 10 พ.ค. 2542 มหาเถรสมาคมมีอำนาจและหน้าที่ที่จะนำขึ้นมาพิจารณาลงมติให้พระธัมมชโยว่าต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตหรือไม่
แต่การที่บ่ายเบี่ยงว่าไม่มีอำนาจที่จะดำเนินการตามพระลิขิตนั้นอาจจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อช่วยเหลือพระธัมมชโยไม่ต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิต ดังนั้นตนจึงจัดส่งข้อมูลเพิ่มเติมดังกล่าวไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อพิจารณาเพิ่มเติมกับคำร้องที่เคยยื่น
หากย้อนกลับไป ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสมณะความเป็นสงฆ์ของพระธัมมชโย ซึ่งเป็นกรณีชี้มูลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ว่า องค์ประกอบความผิดเรื่องการยักยอกทรัพย์วัดธรรมกายเมื่อปี 2542 ควรดำเนินการให้เป็นไปตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช
แต่แล้วในการประชุม ของมหาเถรสมาคม ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ กลับถูกปฏิเสธจากที่ประชุมมหาเถรสมาคม 10 ก.พ. 59 สรุปใจความของคำชี้แจงของสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามผลการประชุมของมหาเถรสมาคม ก็คือข้อกล่าวอ้างว่า ที่ผ่านมามหาเถรสมาคมยึดแนวปฏิบัติตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชมาตั้งแต่ต้น แต่เนื่องจากระบวนการทางสงฆ์ว่าด้วยการพิจารณาคำฟ้องต่อพระธัมมชโย ซึ่งมีการดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2542 จนกระทั่งมีผลการสรุปจากเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
เมื่อปี 2549 ในฐานะคณะสงฆ์ผู้พิจารณาคำฟ้องมูลเหตุความผิดของพระธัมมชโย ว่า คำฟ้องดังกล่าวไม่สมบูรณ์ จึงเป็นเหตุให้สำนวนคดีที่เข้าสู่ศาลสงฆ์ชั้นต้นเป็นที่ยุติแล้ว ไม่อาจรื้อฟื้นมาดำเนินการได้ ยกเว้นการยื่นฟ้องด้วยสำนวนคำร้องคดีใหม่ต่อคณะสงฆ์ตามกฎมหาเถรสมาคม
ทั้งนี้ถ้าพิจารณาจากคำชี้แจงของสำนักพุทธศาสนา ซึ่งอ้างอิงจากที่ประชุมมหาเถรสมาคม มีข้อน่าสนใจว่าเป็นไปตามหลักการหรือแนวทางของดีเอสไอ ในการส่งหนังสือที่ ยธ 0805/56 ถึงประธานกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นข้อเสนอให้พิจารณาดำเนินการ หรือไม่ อย่างไร
โดยเฉพาะข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ดีเอสไอเห็นว่าตั้งแต่ปี 2542 ที่ประชุมมหาเถรสมาคม ไม่เคยมีมติตัดสินหรือรับรองว่าพระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามความผิดที่ปรากฏหรือไม่ตามหลักการพิจารณาใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ
1.การดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่มีมติของมหาเถรสมาคม รับรองให้เป็นคำสั่งที่ชอบและจะต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
2.การพิจารณาความผิดและการดำเนินการกับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ชั้นต้นมีหน้าที่รับผิดชอบให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก
และเพื่อให้ชัดเจนในประเด็นคำตอบของมหาเถรสมาคม ต่อข้อคำถามของดีเอสไอ ว่าเป็นคำตอบที่ตรงคำถาม หรือไม่ อย่างไร เราจะกลับไปทวนข้อมูลการสืบสวน-สอบสวน จนเป็นที่มาในข้อสรุปของดีเอสไอว่าพระธัมมชโยเข้าข่ายอาบัติปาราชิกแล้ว ตั้งแต่กระทำความผิดด้วยการยักยอกทรัพย์สินวัดธรรมกายเป็นของตนเอง
1.ข้อพิจารณาของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เห็นว่า แม้พระธัมมชโย จะยินยอมส่งมอบคืนทรัพย์สิน อันประกอบด้วยที่ดินและเงิน จำนวน 759 ล้านบาท คืนให้แก่วัดธรรมกาย เพื่อให้เป็นไปตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช และ พนักงานอัยการในขณะนั้นได้ถอนฟ้องคดีอาญาแก่พระธัมมชโยก็ตาม แต่ตามหลักกฎหมายต้องถือว่าพระธัมมชโยได้กระทำความผิดสำเร็จแล้ว
ตามองค์ประอบความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต” รวมถึง “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 , 157
ดังปรากฏเป็นบรรทัดฐานในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 205 / 2554 ว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน ตำแหน่งพนักงานคุมประพฤติ และเป็นตัวแทนร่วมรับทราบและทำนิติกรรมจดทะเบียนภาระจำนองที่ดิน พร้อมกับมีหน้าที่รวบรวมทรัพย์สินในส่วนที่ผู้เยาว์จะได้รับมดำเนินการกำกับการปกครองตามคำสั่งศาลในคดีหมายเลขแดงที่ 382/2541 ของศาลเยาวชนและ ครอบครัวกลาง การที่จำเลยรับเงินค่าตอบแทนในส่วนของผู้เยาว์ในคดีดังกล่าวและได้เบียดบังเอาไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว โดยมิได้ดำเนินการนำเงินจำนวนดังกล่าวไปฝากธนาคารในนามของผู้เยาว์ เป็นการไม่ปฏิบัติตนในฐานะผู้กำกับการใช้อำนาจปกครองในส่วนที่เป็นทรัพย์สินของผู้เยาว์ตามคำสั่งศาล การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนโดยทุจริต การกระทำของจำเลยดังกล่าวข้างต้นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 สำเร็จไปแล้ว แม้ต่อมาจำเลยจะเปิดบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์ให้แก่ผู้เยาว์ก็ไม่อาจทำให้การกระทำ ที่เป็นความผิดอาญาสำเร็จไปแล้วกลับกลายเป็นไม่มีความผิดไปได้
2. ดีเอสไอ เห็นว่า การที่พระธัมมชโยนำทรัพย์สินที่ยักยอกไปคืนแก่วัดธรรมกาย เป็นเพียงความพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดที่กระทำไปก่อนหน้าเท่านั้น และยังเป็นเหตุของกระทำที่เกิดจากการยอมจำนนต่อหลักฐานเท่านั้น เนื่องจากที่ดินจากจัดซื้อโดยบัญชีเงินวัดธรรมกาย ถูกพิสูจน์ได้ว่ามีนำใส่ชื่อพระธัมมชโยแสดงความเป็นเจ้าของทรัพย์สิน แทนการใช้ชื่อวัดธรรมกายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มาโดยตลอด และกว่าพระธัมมชโยจะยอมคืนทรัพย์สินก็ใช้เวลายาวนานถึง 7 ปี ด้วยเหตุผลเพียงเพื่อเป็นนำไปสู่การบรรเทาคดีให้พนักงานอัยการพิจารณาอ้างเป็นเหตุในการถอนฟ้อง
ส่วนข้อพิจารณาสำคัญว่าด้วยประเด็นที่เป็นข้อโต้แย้งในเชิงกระบวนการลงโทษตามพระธรรมวินัย และทำให้กรณีของพระธัมมชโยยืดเยื้อมานานถึง 17 ปี มีรายละเอียดเป็นข้อพิจารณาดังนี้
1.ดีเอสไอ เห็นว่า การยื่นคำฟ้องของ นายมาณพ พลไพรินทร์ และ นายสมพร เทพสิทธา เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2553 และ วันที่ 5 ต.ค. 2553 ต่อพระธัมมชโย ในประเด็นความผิดว่า กระทำการล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ด้วยการบิดเบือนหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา อวดอุตริมนุสธรรม ลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกง และ หลอกลวงประชาชน ยังไม่ได้มีข้อสรุปความผิด ถูกของพระธัมมชโยแต่ประการใด เนื่องจากคณะผู้พิจารณาชั้นต้นโดยเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีในขณะนั้น อ้างว่าคำฟ้องของนายสมพร เทพสิทธา มีความบกพร่องจึงมีคำสั่งไม่คำกล่าวหาดังกล่าว ส่วนกรณีของนายมาณพ พลไพรินทร์ เป็นเหตุสิ้นไป เพราะการถอนคำฟ้องเมื่อพระธัมมชโยยอมคืนทรัพย์สินแก่วัดธรรมกาย
2.ข้อพิจารณาประกอบก็คือคำฟ้องของนายสมพร เทพสิทธา มีความบกพร่องสมแก่เหตุให้นำมาวินิจฉัยความผิดพระธัมมชโย โดยกระบวนการให้สิ้นสงสัยจริงหรือไม่ ด้วยข้อเท็จจริงว่ากรณีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้น เพียงเพราะว่าคำฟ้องของนายสมพรต่อพระธัมมชโยตามความผิดพระธรรมวินัยในขณะนั้น เป็นคำฟ้องมีมูลเหตุเกี่ยวข้องกับการแจ้งความคดีอาญาอยู่ก่อนหน้าแล้ว และทำให้คณะผู้พิจารณาชั้นต้นนำมาเป็นเหตุในการกล่าวอ้างถึงกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2521 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ข้อ 12 (1) ง. ที่กำหนดว่าเรื่องที่นำมาฟ้อง ต้องมิใช่เรื่องที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฝ่ายราชอาณาจักร หรือมิใช่เรื่องที่มีคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลฝ่ายราชอาณาจักรถึงที่สุดแล้ว เว้นแต่กรณีที่มีปัญหาทางพระวินัย ให้ระงับยับยั้งการพิจารณาและท้ายสุดนำไปสู่การยุติข้อกล่าวหาในวันที่ 30 ก.ย. 2549 โดยข้ออ้างถึงความบกพร่องในคำฟ้อง
ขอขอบคุณ ทีนิวส์ออนไลน์