ประวัติพระโสณโกฬิวิสเถระ (ตอนที่ ๖)
๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖
ความเดิมตอนที่แล้ว พระโสณโกฬิวิสเถระ ท่านได้บรรลุอรหันต์ และเป็นมูลเหตุที่ทำให้พระบรมศาสดาทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุสงฆ์สวมรองเท้าได้
ด้วยเหตุที่ท่านได้ทำความเพียรจนฝ่าเท้าแตกจนเป็นแผลลึก เลือดไหล เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็น
แต่พระเถระท่านก็มิได้ยี่หระ ทุกข์ระทมแม้แต่น้อย
จนองค์พระบรมศาสดาต้องทรงมีพระมหากรุณาบัญญัติข้ออนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์สวมรองเท้าได้ เว้นแต่เข้าไปในบ้าน
และด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท เพ็งความเพียรเช่นนี้จึงได้รับขนานนามยกย่องว่า ท่านเป็นผู้เพ็งความเพียร ผู้เลิศด้วยความเพียร
ท่านพระโสณโกฬิวิสเถระ หลังจากท่านได้บรรลุอรหันต์แล้ว ท่านได้ช่วยรับภาระกิจการคณะสงฆ์ และเผยแผ่พระพุทธธรรมอยู่หลายปีจนท่านปรินิพพานอย่างสงบ ณ ตำบลบ้านเกิดของท่าน
วันนี้เราลองมาดูอดีตชาติของท่านโสณโกฬิวิสเถระ ว่าท่านได้มีอดีตชาติกรรมเป็นมาอย่างไร
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า อโนมทัสสี พระเถระได้เกิดเป็นเศรษฐีมีสมบัติมาก เจริญด้วยบุตรและภรรยา สมบูรณ์ด้วยสมบัติ ไปสู่วิหารกับอุบาสกทั้งหลาย ฟังธรรมในสำนักของพระอโนมทัสสี มีจิตเลื่อมใส ได้สร้างที่จงกรมอันงามเพื่อเป็นที่จงกรม ให้กระทำการฉาบโบกพื้นด้วย ปูนขาว กระทำให้รุ่งเรืองเรียบราบดุจพื้นแว่น ลาดด้วย ดอกไม้มีสีต่าง ๆ ให้ผูกเพดานด้วยผ้าย้อมด้วยสีต่าง ๆ ในเบื้องบน
อีกทั้งได้สร้างศาลายาวมอบถวายแด่พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ แล้วจุดประทีป ธูป และ ดอกไม้เป็นต้น มอบถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า บูชาภิกษุสงฆ์ มีพระ พุทธเจ้าเป็นประธานด้วยอาหารอันประณีต ท่านบำเพ็ญบุญจนตลอด ชีวิตด้วยอาการอย่างนี้ เมื่อท่านถึงกาลกิริยา จึงได้ไปเกิดในเทวโลก
ด้วยกุศลบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลกอยู่หลายกัปหลายกัลป์ จนเวลาล่วงเลยมาถึงยุคแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระโสณะเถระได้บังเกิดในตระกูลเศรษฐี ในหังสวดีนคร พวกญาติขนานนามของท่านว่า สิริวัฑฒะ ท่านเจริญวัยแล้ว ไปสู่วิหาร ยืนฟังธรรมอยู่ท้ายบริษัทในสำนักพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ ในตำแหน่งตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้ปรารภความเพียร
ท่านสิริวัฑฒะเศรษฐี จึงตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาตำแหน่งนั้นในอนาคต เมื่อจบเทศนา ท่านจึงนิมนต์พระบรมศาสดาปทุมุตตระ พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์ มายังคฤหาสน์ของตนเพื่อถวายมหาทานตลอด ๗ วัน เมื่อครบ ๗ วันแล้วท่านได้กระทำความปรารถนาต่อพระศาสดา ว่าเกิดในภพชาติใดขอให้ได้ถึงธรรมแห่งองค์พระศาสดา และได้รับสรรเสริญให้เป็นผู้เลิศในด้านความเพียร
พระศาสดาทรงเห็นว่าความปรารถนาของท่านจักเป็นผลสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์แล้วเสด็จกลับพระวิหาร
ฝ่ายสิริวัฑฒเศรษฐีนั้น กระทำกุศลตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ล่วงไปแสนกัป
กาลต่อมาท่านได้เวียนมาเกิดในพระพุทธเจ้าพระองค์พระนามว่า วิปัสสี
ท่าน ได้เกิดในตระกูลเศรษฐีมีสมบัติมากมาย ในพันธุมาราชธานี พอเจริญวัยแล้ว ก็ได้รับทรัพย์สมบัติจากบิดา ดำรงตำแหน่งเป็นเศรษฐี แห่งนครพันธุมาราชธานี
วันหนึ่งพร้อมกับพวกอุบาสกได้ไปพระวิหาร ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว มีใจเลื่อมใส ซึ่งได้ช่วยกันฉาบทาปูนขาว ในที่จงกรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า และช่วยกันสร้างวิหารหลังหนึ่ง และลาดพื้นด้วยผ้ามีสีต่าง ๆ พร้อมทำเพดานเช่นเดียวกับพื้น มอบถวายแด่พระสงฆ์ที่มาจากทิศทั้ง ๔ ทั้งยังได้ถวายมหาทานตลอด ๗ วัน และได้มีจิตเบิกบานโสมนัส กระทำการตั้งปณิธานว่า
ขอเราพึงได้พบพระสัมพุทธเจ้าผู้ทรงโปรดปราน พึงได้บรรพชาและพึงบรรลุนิพพานอันยอดเยี่ยม เป็นอุดมสันติ พระปทุมุตตระศาสดาได้ทรงกระทำอนุโมทนา
ด้วยกุศลกรรมอันนั้น เขาจึงได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้เสวยสมบัติในโลกทั้ง ๒ สามารถระลึกชาติได้ตลอด ๙๐ กัลป์
กาลต่อมาท่านก็มาถือปฏิสนธิในครอบครัวของชาวกรุงพาราณสี ครั้นเจริญวัยเป็นมานพหนุ่มแล้ว
ครั้งนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งซึ่งทรงจีวรอันเก่า เข้าอาศัยอยู่ในกรุงพาราณสี สร้างบรรณศาลาอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ตั้งใจว่าจะเข้าจำพรรษา จึงไปดึงท่อนไม้และเถาวัลย์ที่ถูกน้ำพัดมาติดอยู่ออก
วันหนึ่ง มานพหนุ่มพร้อมกับหมู่สหายของตนไปเดินเล่นอยู่ริมแม่น้ำ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังทำความสะอาดบรรณศาลาอยู่ จึงเดินไปยืนอภิวาทอยู่ถามว่า ทำอะไรอยู่หรือพระคุณเจ้าข้า
ท่านพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงตอบว่า พ่อหนุ่มน้อยที่ใกล้เวลาจวนเข้าพรรษาแล้ว ธรรมดาบรรพชิตทั้งหลายพึงกระทำที่อยู่ว่าพรรษา เราก็กำลังทำที่ว่าพรรษา
มานพหนุ่มกล่าวว่า พระคุณท่านเจ้าข้า วันนี้ ขอพระคุณเจ้ารอสักวันหนึ่งก่อน พรุ่งนี้ ข้าพเจ้าจะกระทำที่อยู่ถวายพระคุณเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้ายับยั้งอยู่ เพราะ เป็นผู้มาแล้วด้วยตั้งใจว่า จักกระทำความสงเคราะห์กุลบุตรผู้นี้เหมือนกัน มานพนั้นทราบว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ารับนิมนต์แล้ว วันรุ่งขึ้น จึงจัดแจงเครื่องสักการะสัมภาระไปยืนคอยพระปัจเจกพุทธเจ้า
ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงพิจารณาว่า วันนี้เราจักเที่ยวหาอาหารที่ไหนหนอ จึงไปยังประตูเรือนของมานพนั้น มานพเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วก็รับบาตรถวายอาหาร นิมนต์ว่า ตลอดกาลภายในพรรษานี้ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดมายังประตูเรือนของข้าพเจ้าเท่านั้น พระ ปัจเจกพุทธเจ้ารับคำ ฉันเสร็จแล้วก็หลีกไป
มานพนั้นจึงไปกับสหายของตน ชวนกันเดินทางไปยังที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า เพื่อช่วยกันสร้างบรรณศาลาที่อยู่และที่จงกรม รวมบรรณศาลาท่าน้ำสำหรับพักลางวันและกลางคืน ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าให้แล้วเสร็จภายในวันเดียว
มานพนั้นคิดว่า เวลาพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าบรรณศาลา เปือกตมบนพื้นดินจะติดที่เท้า จึงลาดผ้ากัมพลแดงมีค่าพันหนึ่งอันเป็นผ้าห่มของตน ปิดพื้น เพื่อป้องกันมิให้พระปัจเจกพุทธเจ้าเท้าเปื้อนโคลนตม ผ้ากัมพลนั้นปรากฎเป็นแสงรัศมีเรืองรองเข้ากันได้กับสรีระของพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นเช่นเดียวกับสีของผ้ากัมพล
ชนทั้งหลายเห็นก็เลื่อมใสอย่างยิ่ง
มานพหนุ่งนั้นจึงกล่าวว่า
จำเดิมแต่เวลาที่พระคุณเจ้าเหยียบแล้ว ประกายแห่งผ้ากัมพลนี้ แวววาวอย่างยิ่งฉันใด แม้วรรณะแห่งมือและเท้าของข้าพเจ้าก็จงมีสีเหมือนดอกหงอนไก่ ในที่ที่ข้าพเจ้าเกิดแล้วเกิดอีก ฉะนั้น ขอให้ผัสสะของข้าพเจ้าจงเป็นเช่นกับผัสสะแห่งแผ่นผ้าฝ้ายที่เขายีแล้วถึง ๗ ครั้งเทียว
มานพนั้นบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าตลอดไตรมาส ได้ถวายไตรจีวรเมื่อ ออกพรรษาปวารณาแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้ามีบาตรและจีวรบริบูรณ์แล้ว จึงไปพักยังภูเขาคันธมาทน์ตามเดิม
มานพหนุ่มผู้นั้นหลังจากที่พระปัจเจกพุทธเจ้าได้จากไป ท่านก็บำเพ็ญบุญ รักษาศีล บริจาคทาน ปฏิบัติธรรมตามคำของพระปัจเจกพุทธเจ้า สั่งสอนจนถึงกาลกิริยาแล้วเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ อยู่หลายกัปจนมาถือปฏิสนธิ ในเรือนของอุสภเศรษฐี ในเมืองกาลจัมปาก นามว่า โสณโกฬิวิสะ และได้บวชบรรลุอรหันต์ จนได้สรรเสริญจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศในความเพียร
ด้วยผลบุญที่ท่านได้บำเพ็ญสั่งสมมา ทำให้ท่านได้คุณลักษณะพิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไปคือ
เป็นบุรุษที่มีรูปร่างสง่างาม
เป็นสุขุมาลชาติ ผิวกายละเอียดอ่อน ขาวผ่องดังกลีบบัวหลวง มีกลิ่นกายหอมดังกลิ่นปทุมชาติ
มีฝ่ามือ ฝ่าเท้าแดงระเรื่อ ดุจดังสีดอกชบา
อีกทั้งกิริยามารยาทของท่านยังสุภาพเรียบร้อย สง่างาม อุปนิสัยก็ขยันใฝ่รู้ ใฝ่เรียน อ่อนน้อมถ่อมตน
ทั้งยังเป็นที่รักของผู้ที่ได้พบเห็น
คุณลักษณะทั้งหมดนี้ล้วนได้มาจากการสั่งสมบุญกุศลมาแต่ละภะ แต่ละชาติ
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–