อาจารย์กับศิษย์ มีพฤติกรรมเหมือนกันอย่างกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกันเลย

นายวิชาญ กล่าว่า การเข้ายื่นหนังสือในวันนี้ อยากให้กรมสรรพสามิต ตรวจสอบการเรียกเก็บภาษีย้อนหลังของอู่วิชาญ เนื่องจากอู่วิชาญเป็นเพียงอู่ซ่อมรถโบราณเท่านั้น ไม่ใช่อู่ประกอบรถแต่อย่างใด และการประกอบอาชีพอู่ซ่อมรถก็ไม่ได้มีเงินจำนวนมากขนาดนั้น ขณะเดียวกันตนเองก็ไม่เข้าใจกฎหมาย ซึ่งตลอดการซ่อมรถคันดังกล่าวไม่มีเอกสารใดๆ มาประกอบ แต่ยอมรับว่า ทราบว่ารถคันดังกล่าวเป็นของสมเด็จช่วงฯ โดยหวังให้กรมสรรพสามิตช่วยเหลือเรื่องนี้

ด้านนายเริงยศ ทรัพย์เงินทอง ทนายความ กล่าวว่า การมาใช้ สิทธิ์ยื่นหนังสือตามกรอบระยะเวลา 45 วัน หลังจากมีคำสั่งให้จ่ายเงินภาษีย้อนหลัง ยืนยันจะทำตามขั้นของกรมสรรพสามิต อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ นายวิชาญจะเดินทางไปกรมสรรพากร ตามหมายเรียกให้ข้อมูลเพิ่มเติมในคดีดังกล่าว
https://deeps.tnews.co.th/contents/203872/
——————————————–

เพราะคนๆ เดียวแท้ๆ ทำให้หลายคนต้องมาพลอยเดือดร้อนกันทั่วหน้า ทั้งศิษย์และอาจารย์ แทบจะหาความรับผิด ความกล้าหาญ ความละอายชั่วกลัวบาป และวุฒิภาวะของผู้นำยากเย็นเสียจริงๆ

ผู้คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลยพลอยซวยไปตามๆ กัน
เมื่อเห็นความทุกข์ยากเดือดร้อนของคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับตน แทนที่จะรู้สึกสงสาร เห็นใจ ให้ความช่วยเหลือ แต่กลับนิ่งเฉย เฉื่อยชา ใช้ความสงบ หลบๆ แอบๆ เพื่อเอาตัวรอดซะงั้น ช่างน่าละอายนัก

หากเมื่อใดมีคนแบบนี้มาเป็นสังฆราช ชาวพุทธคงมุ่งหวังอะไรไม่ได้กับคนที่ขาดวุฒิภาวะผู้นำ

พุทธะอิสระ