ถ้าจะโชว์โง่ ก็ควรมีความยางอายกันบ้าง

0
181

ถ้าจะโชว์โง่ ก็ควรมีความยางอายกันบ้าง
๒ เมษายน ๒๕๕๙

020459-บทความ-ถ้าจะโชว์โง่-ก็ควรมีความยางอายกันบ้าง
จี้’คณะสงฆ์นครปฐม’ลงโทษ’เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย’ อ้างปล่อย’พุทธะอิสระ’ทำหมู่สงฆ์แตกแยก
มติชน วันที่: 31 มี.ค. 59 เวลา: 17:13 น.

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะสงฆ์ อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด ได้ออกประกาศเรื่องลงอุกเขปนียกรรมพระสุวิทย์ธีรธมฺโม หรือพระพุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ใจความว่า “ด้วยพระพุทธะอิสระพระลูกวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม อุปสมบทภายในพัทธสีมาแห่งคณะสงฆ์ไทย โดยพระอันดับ พระอนุสาวนาจารย์ พระกรรมวาจาจารย์ และพระอุปัชฌาย์ เป็นพระจากคณะสงฆ์ไทย ทั้งนี้ พระพุทธะอิสระเป็นผู้หัวดื้อ ว่ายากสอนยาก ได้สมคบคฤหัสถ์ตะเกียกตะกายทำลายสงฆ์ ก่อความบาดหมาง ก่อการทะเลาะ ก่อการวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ เป็นภิกษุพาล สันดานหยาบ รุกรานพระเถระ ไม่ฉลาดในธรรม มีอาบัติมาก มีมารยาทไม่สมควร ดังนั้น จึงขอให้พระสงฆ์พึงลงอุกเขปนียกรรมแก่พระพุทธะอิสระ และเมื่อสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรมแล้ว ขอพระสงฆ์จงจำไว้ว่า พระพุทธะอิสระนี้ไม่สามารถร่วมในวงหัตถบาสแห่งสังฆกรรมใดๆ ในฐานะของสงฆ์ได้ ไม่ว่าจะร่วมบรรพชาอุปสมบท รับกฐิน หรือลงอุโบสถสวดพระปาติโมกข์ ถ้าพระพุทธะอิสระนี้อยู่ในวงแห่งหัตถบาส พึงเป็นสังฆกรรมวิบัติตามพระพุทธญัตติเพราะอำนาจแห่งอุกเขปนียกรรมนี้”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ เนื้อความในประกาศยังเรียกร้องให้คณะสงฆ์ จ.นครปฐมพึงพิจารณาจริยาพระสังฆาธิการแก่พระอธิการสิริชัย สิริโสภโณ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย เพราะหย่อนยานต่ออำนาจหน้าที่เจ้าอาวาส ปล่อยปละละเลย ไม่ตักเตือนพร่ำสอนพระพุทธะอิสระ ในฐานะพระลูกวัดของตนให้อยู่ในพระธรรมวินัย จารีต ประเพณีอันดีงาม ก่อให้เกิดความเสียหายแก่คณะสงฆ์หมู่ใหญ่

(ขอบคุณข่าวจากมติชน)
https://www.matichon.co.th/news/90707
………………………………….………………..

พักนี้ดูท่าบรรดาหมู่สงฆ์บางกลุ่มจะมีเวลาว่างมาก เลยสลับสับเปลี่ยนกันออกมาโชว์โง่กันเป็นชุดๆ ต่างพากันออกมารุมทึ้งขบกัด พุทธะอิสระ พญาราชสีห์แห่งเวทีแจ้งวัฒนะกันไม่เว้นแต่ละวัน

คงคิดว่าใช้พวกมากลากมาแล้วจะมีอำนาจพลังอยู่เหนือพระธรรมวินัยกฎหมาย และความเป็นจริง

เมื่อวานก็อ้างว่าพวกคณะสงฆ์จังหวัดอุบล มีมติลงทัณฑ์อุกเขปนียกรรมแก่พุทธะอิสระ

วันนี้คณะสงฆ์ อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด ออกมาโชว์โง่แสดงมติประกาศลงทัณฑ์อุกเขปนียกรรมแก่พุทธะอิสระอีกรอบ

ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีหมู่ภิกษุสงฆ์จังหวัดไหนออกมาโชว์โง่ให้ชาวบ้านเขาเสื่อมศรัทธากันอีก

อยากถามจริงๆ ว่าภิกษุพวกนี้บวชกันมาคนละกี่พรรษา ได้ศึกษาหลักธรรมวินัยจนรู้จริง เข้าใจ ทำกันได้บ้างหรือเปล่า

เขาฉันอะไรเป็นอาหาร สมองและต่อมคุณธรรมในจิตใจถึงได้หดหายไปไหนกันหมด

บวชกันมาจนได้เป็นสมภาร เป็นเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค

ศึกษาทรงจำถึงขั้นนักธรรมตรี โท เอก และเปรียญธรรมหลายๆ ประโยค

บางคนได้เป็นพระครู เจ้าคุณ เป็นรองสมเด็จ

ทำไมถึงไร้จิตสำนึก ขาดความยุติธรรม ขาดหลักการและเหตุผล

ความซื่อตรงหดหายไปไหนหมด

ถึงกับบังอาจประกาศลงทัณฑ์แก่ภิกษุพุทธะอิสระ ผู้ไม่เคยพบ ไม่เคยพูด ไม่เคยเห็น ไม่เคยถาม

อยากถามว่าเกิดมาได้อายุขัยกันคนละเท่าไหร่แล้ว ไม่รู้กันเลยหรือไงว่าการพิพากษาโทษแก่ผู้ถูกกล่าวหา จะต้องมีการสอบสวนซักถามจากปากคำของทั้งโจทก์และจำเลยจนแน่ชัดว่าผู้ถูกกล่าวหาผู้นั้นผิดจริง จึงจะตัดสินพิพากษา

แล้วคณะสงฆ์เหล่านี้เคยถามพุทธะอิสระหรือยังว่าผิดอะไร ต้องอาบัติสิกขาบทไหน

เมื่อไม่เคยถามแล้วใช้การมโนตัดสินเช่นนี้ หากเป็นทางโลกเขาเรียกว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงอยุติธรรม เช่นนี้พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า กรรมวิบัติ ทรงจำแนกแจกแจงเอาไว้ ๕ อย่างคือ

วิบัติโดยวัตถุ หมายถึง เรื่องสิ่งของ ข้อความและวัตถุ

วิบัติโดยญัตติ หมายถึง คำประกาศรายละเอียดแก่สงฆ์

วิบัติโดยอนุสาวนา หมายถึง คำประกาศปรึกษาหารือแก่หมู่สงฆ์ที่มีข้อความเป็นเท็จ ไม่สอดคล้องต่อหลักธรรมวินัย

วิบัติโดยสีมา หมายถึง เขตที่สงฆ์ควรทำสังฆกรรมต้องบริสุทธิสะอาด ต้องได้สมมุติจากหมู่สงฆ์นั้นๆ เช่น ในเขตพัทธสีมา หรืออุโบสถ เป็นต้น

วิบัติโดยบริษัท หมายถึง การทำสังฆกรรมแต่ละครั้ง ต้องมีภิกษุเกิน ๔ รูปขึ้นไป ภิกษุทั้งหมดนั้นต้องเป็นผู้มีความสำรวมสังวรระวังในพระปาฏิโมกข์ คือ รอบรู้ในพระธรรมวินัย และอินทรีสังวร คือ สังวรระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

หากเป็นสังฆกรรมในการระงับอธิกรณ์ ต้องประกอบด้วยหมู่สงฆ์ และภิกษุเป็นโจทก์ และภิกษุผู้เป็นจำเลย เรื่องเหล่านี้มีอยู่ในพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร ปัญจวรรค และกรรมวรรคที่ ๑

ทีนี้เข้าใจหรือยังหละ เถรใบลานเปล่าทั้งหลาย

หากพวกท่านกล้าออกมาประกาศตัดสินโทษ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นกรรมวิบัติ

แสดงว่ามีเจตนา ต้องการทำให้ผู้ถูกลงโทษเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว แต่ไม่หวังผลทางธรรมวินัยว่างั้นเถอะ

เมื่อกล้าที่จะประกาศลงทัณฑ์ผู้ที่พวกตนไม่ชอบ ทั้งที่ละเมิดพระธรรมวินัยและกฎหมาย

ก็ควรจะกล้าลงชื่อแสดงเจตจำนงเป็นผู้โจทก์ ตามหลักพระธรรมวินัย ในวิธีระงับอธิกรณ์ที่ทรงกำหนดเอาไว้ให้ชัดเจน คณะสงฆ์วัดอ้อน้อย และเจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้น เขาจะได้นำมาตั้งเป็นอธิกรณ์เปิดศาลพิจารณาคดี ไม่ใช่ละเมอโชว์โง่ ประกาศเป็นเหมือนบัตรสนเท่ห์กันอยู่อย่างนี้

เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า เจ้าคณะภาค ๑๐ แห่งวัดสระเกศเป็นผู้สั่งการให้คณะสงฆ์อีสานใต้บังคับบัญชาจัดประชุมลงทัณฑ์อัปยศ ด้วยมุ่งหวังว่าจะทำลายพุทะอิสระ แต่กลายมาเป็นทำลายตนเอง

ข่าวนี้มาจากพระภิกษุที่เป็นลูกศิษย์เขามีเพื่อนเป็นเจ้าคณะอำเภออยู่ที่จังหวัดอุบล

เขาพูดคุยสอบถามกันว่านึกยังไงถึงได้ลงมติกระทำการละเมิดพระวินัยในการระงับอธิกรณ์

เจ้าคณะอำเภอรูปนั้นบอกว่าเจ้าคณะภาคสั่งมาให้จัดประชุมพระสงฆ์เพื่อลงมติลงทัณฑ์พุทธะอิสระ

รวมความแล้ว พวกคณะสงฆ์ที่ประกาศลงอุกเขปนียกรรมแก่พุทธะอิสระ ทำไปเพราะมีนายสั่งมา จึงจำใจต้องทำ

ด้วยหลักคิดทุเรศๆ อย่างเน่าสนิทขาดความละอายเช่นนี้แหละ ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของหมู่สงฆ์ยิ่งตกต่ำลง

มันยิ่งทำให้พุทธบริษัทที่เขารู้ความจริงเสื่อมศรัทธากันมากขึ้น

อย่ามาโทษพุทธะอิสระหรือศาสนาอื่นๆ เลย ว่าเป็นผู้ทำลายหมู่สงฆ์ ด้วยพฤติกรรมของพวกท่านนี่แหละ ทำลายพวกท่านเอง

เคยได้ยินคำว่า “ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ เลวระยำอยู่ที่ทำตัว” ไหม

หมู่สงฆ์ผู้รับคำสั่ง ก็ไม่มีวุฒิภาวะจะพิจารณาว่าอะไรถูกอะไรผิด

ทำตามคำสั่งแบบขาดจิตสำนึก

อีกทั้งผู้สั่งก็ช่างเลวระยำ เพียงแค่ต้องการเอาชนะ จึงไม่สนใจว่าจะใช้วิธีสกปรก ผิดธรรมผิดวินัย ผิดกฎหมายอย่างไร

ฉันไม่คิดว่าสังคมดงขมิ้นนี้จักมีคนสปีชีส์พันธุ์นี้ปนอยู่มากขนาดนี้

นึกว่ามีเฉพาะพวกนักการเมืองและมาเฟียเท่านั้น

คิดแล้วระอาใจแทนชาวบ้าน ที่เขาต้องขวนขวายหาข้าวหาน้ำมาเลี้ยงพวกภิกษุใบลานเปล่าพวกนี้อย่างยากลำบาก

แทนที่จะซื่อตรงต่อศรัทธาของชาวบ้าน ซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย กลับไปยอมให้เจ้านายอลัชชีจูงจมูก

ช่างน่าสมเพชต่อหลักคิดและวิธีทำของพวกนี้เหลือเกิน

ทำไมไม่ประกาศลงอุกเขปนียกรรมกับ อลัชชีธมฺมชโย ที่ลำลายพระธรรมวินัยบ้างหล่ะ

หรือว่ามันให้เงินให้ทอง เลยร้องไม่ออก บอกไม่ถูกเห็นผิดเป็นชอบ

พุทธะอิสระ