นิมนต์เอาแบบที่พวกท่านเห็นชอบเถิดท่าน
๑ เมษายน ๒๕๕๙
สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ
ความบริสุทธิ์และความไม่บริสุทธิ์รู้ได้เฉพาะตน
นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย
บุคคลอื่นจะทำให้ผู้อื่นบริสุทธิ์ไม่ได้
สุทฺธสฺส สุจิกมฺมสฺส สทา สมฺปชฺชเต วตํ
พรตของผู้บริสุทธิ์มีการงานสะอาด ย่อมถึงพร้อมทุกเมื่อ
พระบรมศาสดาทรงบัญญัติวิธีลงทัณฑ์แก่ภิกษุผู้ละเมิดอาบัติแล้วไม่ยอมรับว่าเป็นอาบัติ ไม่ยอมทำคืนอาบัติ หรือภิกษุผู้มีมิจฉาทิฏฐิ ประพฤติตนเป็นผู้ทำลายศีลของตนอยู่เนืองๆ
สงฆ์พึงประชุมกัน เรียกภิกษุนั้นมาพร้อมหน้าสงฆ์ พร้อมหน้าพยาน พร้อมหน้าวัตถุ
แล้วจึงซักถาม สอบสวน ทวนความให้ได้ความจริง
ภิกษุผู้เป็นจำเลยย่อมรับผิดในอาบัติอะไร ก็ให้หมู่สงฆ์ปรับอาบัติแก่ภิกษุนั้นตามความจริง
แต่ถ้าหมู่สงฆ์เห็นว่า ภิกษุผู้เป็นจำเลย เป็นผู้ไม่ละอายละเมิดอาบัติ แล้วไม่ทำคืนอาบัติตั้งแต่สังฆาทิเสสลงมา คืออาบัติที่มีโทษอย่างกลาง แก้ไขได้ด้วยการอยู่ปริวาสกรรม และอาบัติอย่างเบา จักพ้นได้ด้วยการประจานตนเองต่อหน้าภิกษุสงฆ์
เมื่อหมู่สงฆ์ในอาวาสทั้งหมดเห็นว่าภิกษุผู้เป็นจำเลยไม่ยอมทำคืนอาบัติ จึงประกาศลงทัณฑ์ต่อภิกษุนั้นด้วยการงดเว้นการพูด การคุย เว้นการสั่งสอนอบรม เว้นการกินร่วม นอนร่วม และตัดสิทธิของภิกษุผู้นั้นชั่วคราว จนกว่าเธอจะทำคืนอาบัติและแก้ไขพฤติกรรม
ทรงเรียกการลงทัณฑ์เช่นนี้ว่า อุกเขปนียกรรม กรรมที่สงฆ์ควรวางเฉยต่อการกระทำของผู้ไม่ละอาย
การลงอุกเขปนียกรรมจักกระทำได้เฉพาะภิกษุที่อยู่ร่วมกัน ในอาวาสหรือวัดเดียวกัน
จึงจักสำเร็จประโยชน์ในการทำคืนอาบัติ
และหมู่สงฆ์ที่ประกาศลงทัณฑ์ จักได้คอยสังเกตตรวจสอบดูพฤติกรรมของภิกษุผู้ถูกลงทัณฑ์นั้นด้วยว่าได้เปลี่ยนแปลงนิสัยแก้ไขพฤติกรรมแล้วหรือยัง
หากภิกษุนั้นได้เปลี่ยนแปลงนิสัยแก้ไขพฤติกรรมแล้ว หมู่สงฆ์ในอาวาสนั้นจึงจะประกาศยกเลิกการลงทัณฑ์ รับรองพฤติกรรมของภิกษุนั้นว่า เป็นผู้มีศีลและทิฏฐิอันเสมอแก่หมู่สงฆ์ในอาวาส
การอยู่ร่วมกันในอาวาสเป็นเรื่องธรรมดาที่ภิกษุทุกรูปจักต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน เพื่อความเจริญในพรหมจรรย์ของตนและความสงบสุขของหมู่คณะ
เจตนารมณ์ของบทกำหนดโทษนี้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เพื่อให้หมู่สงฆ์ในอาวาสนั้นๆ ปกครองกันเอง
เพื่อความมีศีลอันเสมอกัน จะได้ไม่ต้องมาตั้งข้อรังเกียจซึ่งกันและกัน
เพื่อความมีทิฏฐิอันเสมอกัน จะได้ไม่ต้องมานั่งถกเถียงกัน
หมู่สงฆ์ในกลุ่มในอาวาสนั้นๆ จักได้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ถ้อยทีถ้อยอาศัย
แต่พอมาถึงยุครัตนโกสินทร์ ๒๕๕๙
หมู่ภิกษุสงฆ์ผู้มีพวกมากประกาศกระทำการลงทัณฑ์อุกเขปนียกรรมแก่พุทธะอิสระ
ทั้งที่ไม่เคยอยู่ร่วม กินร่วม ทำอุโบสถสังฆกรรมร่วม และอยู่คนละถิ่น คนละวัด
แถมประกาศลงทัณฑ์โดยไม่มีการสอบสวน ซักถาม ไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยพูดคุย ไม่รู้ข้อเท็จจริง ไม่มีการโจทก์ด้วยอาบัติสิกขาบทใดๆ
เรียกว่าลงทัณฑ์เพราะข้อหาหมั่นไส้ ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน
แต่หมู่สงฆ์ผู้มีพวกมากก็อ้างว่าเป็นนิกายเดียวกัน โดยไม่สนใจบทบัญญัติและพระวินัย และกฎหมายการปกครองคณะสงฆ์ ในกฎนิคหกรรม ข้อ ๕ (๑)
“ถ้าความผิดนั้นเกิดขึ้นในเขตจังหวัดที่พระภิกษุนั้นสังกัดอยู่ ให้เป็นอำนาจของเจ้าอาวาสเจ้าสังกัดเป็นผู้พิจารณา ส่วนในกรณีไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นต้น ให้เป็นอำนาจของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ซึ่งประกอบด้วยเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาสเจ้าสังกัด”
เรียกว่าอาศัยพวกมาก ลุแก่อำนาจ บัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ ละเมิดพระวินัย ทำลายหลักการเจตนารมณ์ของพระธรรมวินัย
แถมยังลุแก่โทสะ ละเมิดกฎมหาเถรสมาคมว่าด้วยการลงนิคหกรรม
ดูท่าภิกษุพวกมากเหล่านี้ช่างมีความพยายามที่จะเล่นงานฉันเสียเหลือเกิน เริ่มตั้งแต่ออกมาประกาศว่าจะระดมกันไปแจ้งความร้องทุกข์โรงพักทั่วประเทศให้ดำเนินคดีแก่พุทธะอิสระในข้อหาดูหมิ่นพระสังฆราช
พอพุทธะอิสระและสังคมถามว่าองค์ไหน ใครเป็นคนตั้ง ตอนนี้ประเทศไทยมีสังฆราชแล้วหรือยัง ก็หงายเงิบกลับไป ไม่มีใครกล้าแจ้งความ
มาเที่ยวนี้กลับมาใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย และเหนือพระธรรมวินัยอย่างน่ารังเกียจ
ที่เป็นเช่นนี้คงเป็นเพราะพุทธะอิสระไปยื่นให้ตรวจสอบการทุจริตของมหาเถรและสำนักพุทธ และมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง
เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เจ้าคณะพระสังฆาธิการทั่วประเทศส่วนใหญ่คือลูกศิษย์ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง
เมื่อพุทธะอิสระไปยื่นเรื่องให้ตรวจสอบครูบาอาจารย์ของพวกเขา เขาย่อมเดือดเนื้อร้อนใจออกมาหาทางโต้ตอบ
ช่วงเวลา ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา ลัทธิธรรมกายได้ช่วยอุปถัมภ์เจ้าคณะพระสังฆาธิการทั่วประเทศทุกปี
เมื่อพุทธะอิสระไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษแก่เจ้าลัทธิธรรมกายผู้มีคุณของพวกเขา เขาย่อมต้องออกมาต่อต้านแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
เรียกว่า เลี้ยงทหารพันวัน เอาไว้ในศึกครั้งนี้
ก็เอาที่สบายใจแล้วกันนะ หลวงพี่ หลวงพ่อ หลวงน้อง หลวงน้าทั้งหลาย
หากเห็นว่าตนมีพวกมาก จะลากกันมารุมกระหน่ำกะทืบซ้ำพุทธะอิสระ ซึ่งกำลังปกปักษ์รักษาพระธรรมวินัยและกฎหมาย ก็ไม่ว่ากัน
ถ้าพุทธะอิสระใช้หลักคิดเดียวกัน คืออยู่กันคนละวัด แล้วคณะสงฆ์วัดอ้อน้อยและวัดอื่นๆ ที่เป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ออกมาประกาศขับไล่ธัมมชโยและสมเด็จช่วง ผู้ทำให้พระธรรมวินัยด่างพร้อยเสียหาย เป็นที่ติเตียนของชาวบ้าน
พวกท่านจะว่าอย่างไร
พุทธะอิสระและพวกพ้องทำได้ไหม
ไม่ พุทธะอิสระทำไม่ได้ เพราะไม่หนาพอ ไม่กล้าพอที่จะทำลายเจตนารมณ์ของพระธรรมวินัยและกฎหมาย
เอาเป็นว่า ออกมาอีก ออกมาประกาศลงทัณฑ์พุทธะอิสระกันให้เยอะๆ สังคมเขาจะได้รู้กันว่าใครผิด ใครถูก
และช่วยกรุณาลงชื่อแซ่เป็นโจทก์ให้ชัดเจนตามหลักพระธรรมวินัยและกฎหมาย
อย่าเอาแต่อ้างว่าเป็นคณะสงฆ์ แต่ไม่รู้ชื่อแซ่อะไร เช่นนี้มันใช้กล่าวหาใครไม่ได้
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุกเขปนียกรรมที่สงฆ์ลงทัณฑ์แก่ภิกษุผู้ไม่ยอมรับอาบัติ กรรมที่ประกอบด้วยองค์ ๓ คือ
“เป็นกรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และระงับแล้วไม่ดี คือทำลับหลัง ไม่สอบถามก่อนแล้วลงทัณฑ์ ไม่ทำตามปฏิญาณคือการรับสารภาพของภิกษุจำเลย”
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุกเขปนียกรรม ฐานไม่เห็นอาบัติที่ประกอบด้วยองค์ ๓ ดังกล่าวนี้แล
เป็นกรรมไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย และระงับแล้วไม่ดี
นี่คือพระบัญัติของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วที่ภิกษุพวกมากอ้างว่าพุทธะอิสระอยู่ในนิกายเดียวกัน คือมหานิกาย สามารถประกาศลงทัณฑ์แก่พุทธะอิสระได้โดยไม่ต้องใช้หลักสัมมุขาวินัย คือการที่โจทก์และจำเลยมาอยู่พร้อมหน้ากัน พร้อมหน้าพยาน และทำการซักถามสอบสวน
เมื่อปฏิเสธหลักของพระพุทธเจ้า
แล้วพวกหลวงพี่ หลวงพ่อ หลวงน้อง หลวงน้า พวกมากลากจะมาใช้หลักอะไรในวิธีระงับอธิกรณ์ในพระพุทธศาสนา แน่ใจกันแล้วหรือว่าจะมาใช้กับพุทธะอิสระ
ไอ้ที่อ้างว่าพุทธะอิสระในหลักมหานิกายมันอยู่ในคัมภีร์วินัยเล่มไหนกันจ๊ะ
เอ้า! ภิกษุพวกมากทั้งหลาย ใครรู้ช่วยตอบที
อย่าคิดว่าพวกมากแล้วจะทำผิดธรรมผิดวินัย ละเมิดกฎหมายได้ตามอำเภอใจนะจ๊ะ
พุทธะอิสระ