เห็นพวกเลี่ยงบาลีออกมาแถให้คุณสุวพันธ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายก ฟังแล้วเหนื่อยใจ
——————————————
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559
อ้างนับล้าน ต่อต้าน สมเด็จช่วง
ด้านนายรักสยาม นามานุภาพ นายกสมาคมเปรียญธรรม 9 ประโยคกล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 ก.พ. นายสุวพันธุ์เชิญกลุ่มนักวิชาการเปรียญธรรม (ป.ธ.) 9 ประโยค 9 คนเข้าหารือที่พุทธมณฑล เกี่ยวกับประเด็นการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และแนวทางปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ตามการมอบหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถามความเห็นต่อนักวิชาการ ป.ธ.9 ดังนี้ 1. ทำไมสภาพความแตกแยกของคณะสงฆ์จึงเกิดปัญหามากขนาดนี้ 2. สาเหตุปัญหาคณะสงฆ์เกิดจากอะไร 3. ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น และ 4. มีวิธีการแก้ไขอย่างไร ซึ่งนักวิชาการ ป.ธ.9 ตอบไปว่า คณะสงฆ์ไม่ได้แตกแยกกันเลย ยังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งหมด เพียงแต่มีกลุ่มสงฆ์บางรูปและบุคคลบางกลุ่มที่มีแนวคิดทางกฎหมายและพระธรรมวินัยที่แตกต่าง ทำให้ถูกมองว่าคณะสงฆ์เกิดปัญหา โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ขอยืนยันไปว่า รัฐบาลต้องกล้าเสนอนามแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชที่มหาเถรสมาคม (มส.) มีมติไปแล้ว
นายรักสยามกล่าวต่อไปว่า นายสุวพันธุ์ชี้แจงต่อกลุ่มนักวิชาการ ป.ธ.9 ว่า รัฐบาลไม่ได้ก้าวก่ายกิจการคณะสงฆ์ รัฐบาลยังสนับสนุน มส.อย่างเต็มที่
รัฐบาลไม่ได้เปลี่ยนนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ในการเสนอทูลเกล้าฯเพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช เพียงแต่รัฐบาลได้รับข้อมูลว่า ฝ่ายผู้ใหญ่และสังคมบางส่วนกังวลว่าหากเสนอตั้งขึ้นไปแล้ว ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยร่วม 1 ล้านคนจะเกิดอะไรขึ้น จะเกิดความวุ่นวายหรือไม่ รวมทั้งยังมีเรื่องค้างคาใจประชาชนทั้งเรื่องกรณีรถเบนซ์ และเรื่องที่ มส.ไปอุ้มวัดใดวัดหนึ่งอยู่ วัดนั้นทำความผิดทำไมไม่ทำให้ถูกต้อง กลุ่มนักวิชาการ ป.ธ.9 ตอบนายสุวพันธุ์ไปว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องพูดกันด้วยหลักการ จะยึดตามพระธรรมวินัย กฎหมาย หรือทำตามความรู้สึก ถ้าทำตามพระธรรมวินัยอธิกรณ์ที่จบไปแล้วนำเรื่องเดิมรื้อฟื้นมาไม่ได้ หากรื้อฟื้นพระจะต้องอาบัติ มส.เองก็ต้องอาบัติทันที ที่สำคัญ มส.จะถูกฟ้องร้องมาตรา 157 ว่า ทำไม่ถูกต้องตามกฎหมายและพระธรรมวินัย หากทำตามความรู้สึกปัญหาไม่จบ
นายรักสยามกล่าวด้วยว่า ขอให้รัฐบาลใช้หลักการยึดพระธรรมวินัยและกฎหมายในทุกเรื่อง ในประเทศไทยไม่ว่าเป็นวัดไหน นำพระธรรมวินัยและกฎหมายมาเป็นตัวตั้งทุกอย่างจะคลี่คลาย นอกจากนี้ฝ่ายรัฐบาลถามกลับมายังกลุ่มนักวิชาการ ป.ธ.9 ว่า แล้วเรื่องศรัทธาจะทำเช่นไร รัฐบาลอยากให้ มส.สร้างศรัทธาให้กลับมาสู่พุทธศาสนิกชน ตอบไปว่า เรื่องศรัทธาต้องใช้เวลา และต้องให้ความรู้ชาวพุทธให้เข้าใจหลักพระธรรมวินัย ที่สำคัญต้องยอมรับว่า กลุ่มที่มีมิจฉาทิฐิจะทำให้เขาศรัทธาเป็นเรื่องยาก บางคนมีความคิดเช่นนั้นแล้ว 1,000 ปีก็แก้ให้เขาศรัทธาไม่ได้ แต่ต้องพยายามทำ
https://www.thairath.co.th/content/581568
———————————–
ปล่อยให้แถกแถเลี่ยงบาลีกันมานาน เพื่อจะรอให้บรรดาพวกอลัชชีทั้งหลายเสนอหน้าออกมาให้สังคมได้รับรู้ว่า คนพวกนี้มีหลักคิดเห็นพวกพ้องสำคัญกว่าพระธรรมวินัยอย่างไร
ข้ออ้างที่มหาเถร สำนักพุทธ กลุ่มนักวิชาการเปรียญ ๙ เจ้าคุณตุ๊ดตู่ ๒ สัญชาติ และพวก มักจะออกมาบอกว่า อธิกรณ์หรือคดีของธัมมชโยมันจบไปนานแล้ว การมารื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่จะต้องอาบัติ
ทีนี้มาดูว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องนี้เอาไว้อย่างไร
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒
มหาวิภังค์ ภาค ๒
๗. สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๓
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๖๓๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรมเพื่อทำอีก ด้วยกล่าวหาว่า กรรมไม่เป็นอันทำแล้ว, กรรมที่ทำแล้วไม่ดี, กรรมต้องทำใหม่
กรรมไม่เป็นอันทำเสร็จแล้ว, กรรมที่ทำเสร็จแล้วไม่ดี, ต้องทำให้เสร็จใหม่,
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อยต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ จึงได้ฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรมเพื่อทำใหม่เล่า?
แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอรู้อยู่ฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรมเพื่อทำอีก จริงหรือ?
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอรู้อยู่ จึงได้ฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรมเพื่อทำอีกเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๑๒. ๓. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ ฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรม เพื่อทำอีก เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
———————————–
พระวินัยสิกขาบทที่ ๓ นี้พวกอลัชชีชอบยกมาอ้าง ทั้งที่จริงยังมีอีกหน้าหนึ่งอยู่ในบทภาชนีย์ ที่ทรงแนะวิธีรื้อฟื้นอธิกรณ์เอาไว้ว่าอย่างไรจึงรื้อฟื้นได้ อย่างไรรื้อฟื้นไม่ได้
สิกขาบทวิภังค์
[๖๔๐] บทว่า อนึ่ง … ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด …
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ … นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือ รู้เอง หรือคนอื่นๆ บอกแก่เธอ หรือเจ้าตัวบอก.
ที่ชื่อว่า ตามธรรม คือ ที่สงฆ์ก็ดี บุคคลก็ดี ทำแล้วตามธรรม ตามสัตถุศาสน์ นี่ชื่อว่า ตามธรรม.
[๖๔๑] ที่ชื่อว่า อธิกรณ์ ได้แก่ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำมี ๔ คือ
๑. วิวาทาธิกรณ์ การเถียงกันเกี่ยวกับพระธรรมวินัย
๒. อนุวาทาธิกรณ์ การโจทหรือกล่าวหากันด้วยอาบัติ
๓. อาปัตตาธิกรณ์ การต้องอาบัติ การปรับอาบัติ และการแก้ไขตัวให้พ้นจากอาบัติ
๔. กิจจาธิกรณ์ กิจธุระต่างๆ ที่สงฆ์จะต้องทำ เช่น ให้อุปสมบท ให้ผ้ากฐิน,
บทว่า ฟื้น … เพื่อทำอีก คือภิกษุฟื้นขึ้นด้วยกล่าวหาว่า กรรมไม่เป็นอันทำแล้ว กรรมที่ทำแล้วไม่ดี, กรรมต้องทำใหม่, กรรมไม่เป็นอันทำเสร็จแล้ว, กรรมที่ทำเสร็จแล้วไม่ดี สงฆ์ต้องทำให้เสร็จใหม่ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์ (บทที่ต้องอธิบายความ)
[๖๔๒] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ฟื้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
กรรมเป็นธรรม ภิกษุมีความสงสัย ฟื้น ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ฟื้น ไม่ต้องอาบัติ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ฟื้น ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุมีความสงสัย ฟื้น ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ฟื้น ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๖๔๓] ภิกษุรู้อยู่ว่า ทำกรรมโดยไม่เป็นธรรม โดยเป็นวรรค หรือทำแก่บุคคลผู้ไม่ควรแก่กรรม ดังนี้ ฟื้น ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
———————————–
เอ้า…เอ้า ทีนี้พวกบัณฑิตหนังสือหน้าเดียวหรือเถรในลานเปล่า จะแถเลี่ยงบาลีว่าอย่างไร
โปรดติดตามตอนต่อไปนะจ๊ะ
พุทธะอิสระ