บทความ
ข้อกล่าวหาพุทธะอิสระมาเกาะผ้าเหลืองหากิน
๓๐ มกราคม ๒๕๕๙
คนมันมีอคติ หูหนวก ตาบอด นึกอยากด่าก็ด่า โดยไม่แยกแยะดีชั่ว
มากล่าวหาว่า พุทธะอิสระมาเกาะผ้าเหลืองหากิน
อยากบอกว่า ถ้าด่าผิด ก็ด่าใหม่ได้
เพราะทุกวันนี้
ค่าอาหารในโรงครัววัด วันหนึ่ง หมื่นกว่าบาท พุทธะอิสระเป็นคนหาเงินให้
ค่าน้ำมันรถวัด รวมทั้งรถแบคโฮที่ออกไปขุดสระให้ชาวบ้านฟรี เดือนละ ๒๕๐,๐๐๐ บาท พุทธะอิสระก็หาเงินมาจ่าย
ค่านิตยภัต ของภิกษุที่ช่วยงานทั้งหมดเดือนละ ๕๐,๐๐๐ กว่าบาท พุทธะอิสระก็เป็นคนหาเงินจ่าย
ค่ารักษาพระอาพาธ ครั้งละ ๒-๓ พันบาท ซึ่งมีเกือบทุกเดือน พุทธะอิสระก็เป็นคนหาเงินจ่าย นี่ยังไม่คิดรวมที่พ่อแม่ของภิกษุภายในวัดที่เจ็บป่วย อดอยาก ลำบาก ล้มตาย พุทธะอิสระก็ต้องจ่าย
ค่าน้ำ ค่าไฟวัด เดือนละ ๓ แสนกว่าบาท พุทธะอิสระก็เป็นคนหาเงินจ่าย
ค่าวัสดุก่อสร้างของวัด เดือนหนึ่ง ไม่ต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท พุทธะอิสระก็เป็นคนหาเงินจ่าย
ค่าอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในวัด ตั้งแต่ไม้กวาด ยันเครื่องมือเครื่องใช้ เดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า ๕-๖ หมื่นบาท พุทธะอิสระก็เป็นคนหาเงินจ่าย
ค่าเดินทาง ค่าศึกษาเล่าเรียนของภิกษุและเด็กวัด เดือนหนึ่งเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า ๓ หมื่นบาท พุทธะอิสระก็เป็นคนหาเงินจ่าย นี่ยังไม่รวมค่าเทอม ค่าเครื่องแต่งตัว ค่าหอ ค่าหน่วยกิต เรียนตั้งแต่มัธยม ถึงปริญญาโท เทอมละแสนกว่าบาท
ค่าแรงคนงาน ทั้งภายในและนอกวัด ๑๕๐ คนต่อเดือน เป็นเงิน ๑,๙๕๓,๐๐๐ บาท พุทธะอิสระก็เป็นคนหาเงินมาจ่าย
ค่าผ่อนรถวัด รถแบคโฮขุดดิน รถสิบล้อบรรทุกรถแบคโฮ เดือนหนึ่งแสนกว่าบาท พุทธะอิสระก็เป็นคนหาเงินมาจ่าย
เงินบริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์ ประจำปี ปีละไม่ต่ำกว่า ๓ ครั้ง ครั้งหนึ่งไม่ต่ำกว่า ๓-๕ แสนบาท พุทธะอิสระก็เป็นคนหาเงินมาจ่าย ตัวอย่างเช่น จัดงานวันเด็ก วัดจ่ายไปล้านกว่าบาท พุทธะอิสระก็ต้องหามาจ่าย
ค่าใช้จ่ายให้กับผู้รับเหมาก่อสร้างในแต่ละงานที่สร้าง ซ่อมถาวรวัตถุภายในวัดและนอกวัด โดยเฉลี่ยเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า ๗ แสนบาท พุทธะอิสระก็เป็นคนหาเงินมาจ่าย
ค่าซ่อมบำรุงอุปกรณ์ ถาวรวัตถุ เครื่องใช้ไม้สอยทั้งนอกวัดในวัด เดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า ๕ หมื่นบาทพุทธะอิสระก็เป็นคนหาเงินมาจ่าย
ค่ารักษาพยาบาลสัตว์ที่ล้มป่วย เดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า ๓-๕ พันบาท หากรวมทั้งค่าอาหารสัตว์ทุกชนิดด้วย ตกเดือนหนึ่ง ๕ หมื่นกว่าบาท พุทธะอิสระก็เป็นคนหาเงินมาจ่าย
อยากบอกให้ไอ้พวกที่ชอบด่า ชอบวิจารณ์ ว่าพุทธะอิสระมาเกาะผ้าเหลืองกิน ลองมาช่วยหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวนี้ให้หน่อยซิ
เพราะพุทธะอิสระก็รู้สึกเหนื่อยที่จะหาเงินอยู่เหมือนกัน
ทั้งที่หาเงินมากมายขนาดนี้ กลับไม่เคยได้ใช้เงินเลย อีกทั้งเงินที่หามาได้ยังไม่ได้อยู่ในกระเป๋าของพุทธะอิสระด้วย แต่กลับไปอยู่ในความดูแลของวัด ซึ่งมีเจ้าอาวาสและภิกษุเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีเป็นผู้เก็บรักษาและเบิกจ่าย และอยู่ในความดูแลของมูลนิธิซึ่งมีประธานมูลนิธิ ซึ่งเป็นฝ่ายฆราวาส ๑๐ กว่าคนเป็นผู้ดูแล
ทุกบาท ทุกสตางค์ ล้วนตกเป็นของวัดและมูลนิธิเป็นผู้ควบคุมเก็บรักษาทั้งนั้น
ดูจะแตกต่างจากวัดอื่นๆ ที่เจ้าอาวาสหรือพระลูกวัด ล้วนมีเงินในบัญชีของตัวเอง
แต่วัดนี้เขามีกฎหมายว่า ภิกษุที่มาอยู่ในอาวาสนี้ จักเก็บเงินเอาไว้ใช้ได้ไม่เกิน ๑๐๐ บาท นอกนั้นจะต้องส่งให้เป็นของสงฆ์หรือของวัด
แม้พุทธะอิสระหาเงินได้มากขนาดนี้ แต่ก็ไม่เคยนำเงินที่หามาได้เอาไปใช้ส่วนตัว หรือสุรุ่ยสุร่าย เพราะทุกบาทต้องทำบัญชีวัด และบัญชีมูลนิธิ เพื่อส่งผู้ตรวจบัญชี ตรวจสอบงบดุลประจำทุกปี
แม้พุทธะอิสระ จะหาเงินได้มากมายขนาดนี้ในแต่ละปี แต่เวลามีคนเขามานิมนต์พุทธะอิสระไปอินเดียหรือต่างประเทศ พุทธะอิสระก็ไม่เคยมีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว เพราะวัดก็ไม่เคยให้ มูลนิธิก็ไม่เคยจ่าย
แม้แต่แม่พุทธะอิสระป่วย พุทธะอิสระยังไม่มีเงินจะไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลแม่ มีแต่ลูกศิษย์ทั้งหลายต้องช่วยกันบริจาค จ่ายค่าโรงพยาบาล
มีคนนำรถมาถวายให้พุทธะอิสระ ก็ให้วัดนำไปขายเอาเงินมาซื้อรถแบคโฮ เพื่อไปช่วยชาวบ้านขุดสระน้ำแก้ปัญหาภัยแล้ง
ทุกวันนี้ ยังใช้รถของชาวบ้าน เวลาเดินทาง รถใครว่างเขาก็จะนำมารับ
พุทธะอิสระตระหนักรู้ว่า นักบวชจะดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยศรัทธาและปัญญา
แต่คนอย่างพุทธะอิสระไม่ได้อยู่เพราะอาศัยศรัทธา เพราะชั่วชีวิตคิดอยู่เสมอว่า ไม่ได้อยู่เพื่อให้คนอื่นไหว้ แต่อยู่ได้เพราะไหว้ตัวเอง จึงต้องเหยียบยืนอยู่ให้ได้ด้วยปัญญาของตัวเอง
ผลิตภัณฑ์มากมาย ๔๐ กว่าชนิด มีทั้งสมุนไพรรักษาโรค และสบู่ ยาสีฟัน ทุกชนิดล้วนแต่เกิดจากสติปัญญาของพุทธะอิสระทั้งสิ้น
มีคนงานผลิต ขายบ้าง แจกบ้าง มีรายได้ก็ส่งให้วัดและมูลนิธิ
หากอยากรวยเหมือนบรรดา อาเฮีย อาเสี่ย ที่เอาเงินชาวบ้านมาสะสมเอาไว้จนร่ำรวย พุทธะอิสระไม่หน้าหนาขนาดนั้น คิดไม่ได้ ทำไม่เป็น
แต่หากพึ่งตัวเองและเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ เช่น ใช้สติปัญญาที่สะสมมา หยิบฉวยในสิ่งที่ชาวบ้านเขาเห็นว่าไม่มีค่า เช่น ใบไม้ ใบหญ้า มาทำให้มีราคา ให้ชาวบ้านเขาได้ใช้ประโยชน์ พระศาสนาก็ได้ประโยชน์ แม้จะรู้สึกผิดในจิตใจ แต่ก็ยังดีกว่าไปรบกวนชาวบ้านให้เขาเดือดร้อน
และถ้าคนอย่างพุทธอิสระ มีความละโมบอยากรวย แค่ขายสูตรผลิตภัณฑ์สินค้าแต่ละชนิด ซึ่งมีบริษัทผู้ผลิตสินค้าหลายรายเขาต้องการสูตรอยู่แล้ว และเคยมาติดต่อขอซื้อสูตร โดยเสนอเงินให้เป็นร้อยล้าน
พุทธะอิสระยังไม่ขาย ไม่เคยอยากได้ แต่ที่ต้องทำเพราะไม่อยากให้ภูมิปัญญาที่มีสูญหาย เพื่อความอยู่รอดของวัด ของพระภิกษุ เถร เณร ชี และชาวบ้าน คนงานที่อาศัยอยู่ในวัด ซึ่งต้องมีอาหารเลี้ยงทุกมื้อ
พุทธะอิสระไม่เคยออกมาขอ ไม่เคยออกเดินเรี่ยไร หรือวิงวอนให้มาช่วยบริจาค
แม้กระทั่งไปสู้อยู่ที่เวทีแจ้งวัฒนะ ๔ เดือน กับ ๙ วัน ในแต่ละวัน มีรายจ่ายวันละ ๒ ล้านกว่าบาท แต่มีคนมาบริจาคให้วันหนึ่งไม่ถึง ๕ แสนบาท ส่วนเงินที่เหลือพุทธะอิสระก็ต้องหา จนเป็นหนี้
ทำทั้งหมดนี้พุทธะอิสระได้อะไร
สรุปใครเกาะใครกันแน่
ไอ้พวกที่ชอบด่าว่า พุทธะอิสระมาอาศัยผ้าเหลืองหากิน
น่าจะพูดไม่จริง ระวังจะเจอคดี ข้อหานำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์นะจ๊ะ
แม้วัดอ้อน้อยจะมีบริษัทสบู่ ยาสีฟัน แต่ก็เป็นการทำตามกฎหมาย เพื่อให้รัฐ สามารถเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
มิหนำซ้ำ พุทธะอิสระยังกำชับ ให้วัด มูลนิธิ และผู้จัดการบริษัท ต้องจ่ายภาษีผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น อย่าเหมาจ่าย ต้องซื่อตรง
และบริษัทที่จดทะเบียนก็ไม่มีชื่อของพุทธะอิสระเป็นผู้ถือหุ้น มีแต่ตัวแทนของวัดและมูลนิธิเท่านั้น
เดือนๆ หนึ่ง พุทธะอิสระต้องหาเงินให้ได้ ๕.๗ ล้านบาท เพื่อจ่ายในสิ่งที่จำเป็น
ที่ได้บรรยายมาถึงขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพวกมืดบอดจะเห็นหรือไม่
เอาเป็นว่า หากใครมีคำด่ามาว่า ฉันมาอาศัยผ้าเหลือง สร้างความร่ำรวย หรือหากิน เช่นนี้คงจะโดนสอนบทเรียนเหมือนกับพวกเฮียๆ ทั้งหลาย ที่โดนฟ้องกันทั่วหน้ากันบ้างแล้วล่ะ
พุทธะอิสระ