เป็นอีกวันที่ต้องออกจากวัดตอนเช้ามืด

0
105

บทความ

เป็นอีกวันที่ต้องออกจากวัดตอนเช้ามืด

๑๑ มกราคม ๒๕๕๙

110159 เป็นอีกวันที่ต้องออกจากวัดตอนเช้ามืด (28)

วันจันทร์ที่ ๑๑ ม.ค. ๕๙ เวลา ตี ๕ ตรง ฉันต้องออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมายื่นหนังสือให้ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ท่าน มล. ปนัดดา ดิศกุล เพื่อส่งผ่านไปยัง ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
 

โดยมีข้อเรียกร้องและคัดค้าน ๒ เรื่องคือ

๑. เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐผู้มีอำนาจ เร่งดำเนินคดีกับธัมมชโยในข้อหาต้องอาบัติปาราชิกตามพระวินัยของสมเด็จพระสังฆราช ไม่เช่นนั้นจักมีความผิดฐานละเว้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗
๒. คัดค้านการเสนอชื่อบุคคลผู้มีมลทินเป็นบุคคลต้องห้ามตามพระธรรมวินัย ขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อทรงแต่งตั้ง จักเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
 

ฉันมาถึงสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในเวลา ๖ โมงครึ่ง รถจอดหน้าสำนักงานมียามอยู่ ๒ คน เจ้าพงษ์ ลูกชายเจ้าของอู่ซ่อมรถข้างวัดทำหน้าที่พลขับ จอดรถหน้าสำนักปลัด เจ้าวารินวิ่งมาถามว่า หลวงปู่จะฉันอาหารเช้าก่อนไหมครับ เพราะด้านหลังมีร้านอาหารตามสั่ง ฉันจึงสั่งให้ไปดูซิว่า มีคนมากไหม หากมีคนมากพลุกพล่าน ก็ไม่ไปฉัน เพราะอายเขา ครู่ใหญ่ๆ เจ้าวารินมาบอกว่า คนว่างครับ ร้านพึ่งจะเปิด ฉันจึงลงจากรถพร้อมหยิบกระดาษ ปากกา ไปนั่งเขียนบทความในร้านค้าด้วยระหว่างรออาหาร

 

ขณะที่เดินมา ฉันบอกกับคนที่เดินตามว่า งานนี้ตัวใครตัวมันนะโว้ย เพราะกูไม่มีเงิน เจ้าแจ้ที่เดินนำหน้ารีบหันมาบอกว่า ผมก็มีอยู่แค่ ๒๐๐ บาท เท่านั้นครับ ฉันเลยมองหน้ามันแล้วแสดงสีหน้ารังเกียจ เจ้าวารินแซวมันว่า อะไรนี่ ๒๐๐ ของพี่ ตั้งแต่เชียงใหม่แล้วนะ ยังไม่หมดอีกหรือ
 

ฉันจึงบอกว่า มื้อนี้ใครจะถวายอาหารเช้า อาตมาก็ขออนุโมทนาด้วยนะจ๊ะ พร้อมกับสั่งว่า พวกมึงพยายามเดินให้ห่างๆ กูหน่อย อย่ารวมกลุ่มเกิน ๕ คน โดยเฉพาะไอ้พวกหน้าบ้านนอกๆ ไม่ทันสมัย เดี๋ยวเจ้าหน้าที่เขาหมั่นไส้ จะเจอข้อหาก่อความไม่สงบ ผิด พรบ. ความมั่นคง
 

เจ้าเฟิร์สไปสั่งต้มเลือดหมูกับไข่ดาว ผัดบวบมาให้ฉัน ฉันหยุดเขียนหนังสือรับประเคน ลงมือฉันได้สักหน่อยแล้วเลิกฉัน เพราะท้องไส้มันปั่นป่วน เจ้าวารินนำกล้วยเชื่อมและสลิ่มมาถวาย ก็ฉันไปอย่างละคำ จึงส่งให้พวกเขาเอาไปแบ่งกินกัน ฉันเสร็จแล้ว จึงขอเข้าห้องน้ำ แล้วเดินมารอ ยืนรอ นั่งรอเวลา จึงหันไปถามว่ากี่โมงแล้ว ซึ่งเจ้าวารินแจ้งว่า พึ่งจะ ๗ โมงครึ่ง
 

ฉันเห็นว่าอยู่ว่าง เลยเดินดูนั่น ดูนี่ เดินมาเห็นพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัว ความว่า “ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกัน ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น” เรียบง่ายได้ใจความ อ่านแล้วมีความสุข

 

เห็นว่าเวลายังเหลืออยู่อีกมาก จึงอาศัยเก้าอี้ยาม นั่งเขียนบทความมาให้พวกคุณอ่านกัน ๘ โมงเจ้าหน้าที่มาแล้ว เปิดห้องประชุมเอาไว้ที่ชั้น ๒ จึงมานิมนต์ฉันขึ้นไปนั่งพักรอบนห้องประชุม

 

เจ้าเฟิร์สนำเอาโทรศัพท์มายื่นให้ขณะเดินขึ้นห้องประชุม แจ้งว่าเจ้าคุณแย้มโทรมาหา เจ้าคุณแย้ม แห่งวัดไร่ขิง จึงพูดกระเซ้าว่า วันนี้จะไปที่พุทธมณฑลไหมจะได้แจ้งแก่มหาเถร ฉันบอกว่า อันนี้ก็ไม่แน่นะพระเดชพระคุณ ขึ้นอยู่กับอารมณ์และความเหมาะสม

 

หากเห็นว่าเหมาะสมก็จะไป ฉันเลยถามท่านเจ้าคุณกลับไปว่า ทำไมพวกมหาเถรถึงได้กลัวฉันมากขนาดนั้นเชียวหรือ ท่านเจ้าคุณเลยบอกว่า มีคนเขาฝากถามมา ฉันจึงตอบไปว่า เอาเป็นว่าหากดูสถานการณ์และความคุ้มค่า ถ้ามีก็จะไปเยือนวันนี้พร้อมสังฆทานชุดใหญ่
 

แต่ถ้าหากไปแล้วไม่คุ้มค่า เหมือนดังตักน้ำรดหัวตอ เช่นนี้คงไม่มีประโยชน์ที่จะไป ระหว่างที่รอ มหาหยกประสานกับหน้าห้องรัฐมนตรี เขาถามมาว่าจะให้ท่านรัฐมนตรีลงมาพบในเวลานี้เลยหรือไม่ ฉันแจ้งว่า ขอพบในเวลา ๙ โมงเช้า ให้คงเวลาเดิมก็แล้วกัน เดี๋ยวลูกหลานนักข่าวเขาจะลำบาก อาจตกข่าวโดนเจ้านายบ่น ทั้งที่จริงท่านรัฐมนตรี จะกรุณาลงมาพบฉันตอน ๘ โมงเช้า เพราะเห็นว่า ฉันมารอนานแล้ว

 

ระหว่างที่นั่งรอ เลยใช้เวลานั่งเขียนเรื่องราวมาบอกเล่าสู่กันให้รับรู้ ขณะที่นั่งรอ ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์เข้ามาสัมภาษณ์ในหลายประเด็น ๙ โมงตรงมีเจ้าหน้าที่เข้ามาแจ้งว่า ท่านรัฐมนตรีมาถึงแล้ว ฉันจึงหยุดให้สัมภาษณ์

 

ท่านปนัดดาและผู้ช่วยรัฐมนตรี ได้เดินเข้ามายกมือไหว้พร้อมขอโทษว่า กระผมต้องขออภัย ที่ไม่สามารถคุกเข่าได้ เพราะเจ็บหัวเข่ามาก หมอบอกว่าหมอนรองกระดูกเสื่อม เวลาเดินจะปวดทรมานมาก ผมจึงขอประทานอภัยที่ไม่สามารถคุกเข่ากราบได้ ขอรับ

 

ฉันจึงบอกว่าไม่เป็นไร เมื่อทุกคนมาพร้อมแล้ว จึงทำการยื่นหนังสือเรียกร้องและคัดค้านดังที่แจ้งอยู่ในหนังสือ ท่านปนัดดา กรุณารับหนังสือแจ้งพร้อมรายชื่อ ๓ แสนรายชื่อ ฉันจึงแถลงให้แก่นักข่าวทราบ ตามด้วยท่านปนัดดา กรุณาแสดงทัศนคติถึงสถานการณ์ของบ้านเมืองในด้านสังคมและศาสนา ประโยคที่ท่านชี้แจงว่า ประเทศไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทย คนทุกชาติทุกศาสนา อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข หาได้ทะเลาะวิวาทบาดหมางกันใดๆ บ้านเมืองไทยจึงอยู่ร่วมกันมาได้อย่างสันติสุขจนถึงปัจจุบัน

 

และการที่ประเทศไทยมีคนไทยส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาพุทธ นั้นเป็นเพราะพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา ได้ถูกถ่ายทอดผ่านหมู่สงฆ์ผู้ทรงธรรม ทรงวินัยอย่างซื่อตรง จึงเป็นที่ยอมรับศรัทธาของประชาชนคนไทย ศาสนาพุทธจึงสมควรอยู่ร่วมกันกับศาสนาอื่นๆ อย่างปรองดองรักใคร่ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด

 

พอเดินทางกลับมาถึงวัด จึงให้เจ้าเฟิร์สโทรหาทนาย แล้วสั่งว่าให้รีบดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด ทำสำนวนฟ้องสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผ.อ.สำนักพุทธศาสนา ต่อศาลอาญาก่อนสิ้นเดือนนี้ มหาเถรสมาคมและกรรมการมหาเถรที่เข้าไปพัวพันกับสำนักธรรมกายทั้งหมด ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ๑๕๗ และ ๑๑๒ รวมความผิดอีกหลายกระทง คงไม่ว่ากันนะ หากจะใช้ยาฆ่าเชื้อที่รุนแรงไปนิด ถ้าหากพวกเชื้อโรคทั้งหลาย เห็นว่าไม่เป็นธรรมก็มีสิทธิ์ฟ้องกลับได้เพื่อพิสูจน์กันในศาล

 

ส่วนพี่น้องชาวสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ที่ต้องการจะเป็นโจทก์ร่วมเพื่อนำมาสู่การฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายในศาล สามารถติดต่อทนายฉันได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น มันจะได้จบๆ กันเสียที

 

พุทธะอิสระ