เห็นต่างนะจาน ดูเหมือนจานก็จักเห็นต่างไปจากพระพุทธเจ้าด้วย (ตอนที่ ๑)
๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๗
ถอดคลิป : พยากรณ์ตน ด้วยตน นักภาวนาบางพวกหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม
พระ อ. ต้น : เพราะฉะนั้นเรื่องที่เจอในโลกนี้มันยังไม่เท่าสิ่งที่เคยเจอมาตอนขณะบําเพ็ญภาวนา กระทบกับโลกยังไม่เท่ากับกระทบกิเลสภายในใจตนเอง กิเลสภายในใจของเราเนี่ยกระทบเราได้อย่างสุดยอดมาก เรื่องของโลกกระทบมันก็ดับ ละกายจากกันแล้วก็หายไป แต่กิเลสที่กระทบใจเราอยู่ 24 ชั่วโมง ข้ามวันข้ามคืนอยู่นั่นแหละกินก็ไม่ได้นอนก็ไม่หลับเป็นเดือนนะต่อสู้กันขนาดนั้น ภาวนาไป ภาวนาไปจนอัตตาของจิตมันหมด ก็พูดไปอย่างนี้ ก็มีพวกนักภาวนาหลายๆ คนเค้าก็มาว่าอาตมาอวดอุตริ มันมีอยู่นะกลุ่มที่เค้าไม่รู้จักธรรมชาติ เค้าบอกอวดอุตริ ถ้าพูดถึงอัตตาของจิตถูกทําลายหรือหายไปเนี่ยมันหมายถึงการพยากรณ์ตนเอง การพยากรณ์ตนเองพระพุทธเจ้าให้พยากรณ์มั้ย? ตามหลักธรรมหลักวินัยนี้พระพุทธเจ้าให้พยากรณ์ตนเองมั้ย? อ้าวถ้าเราไม่รู้จักตัวเราแล้วจะให้ใครมารู้จักตัวเรา พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าพระโสดาบันสามารถพยากรณ์ตัวเองได้ตั้งแต่โสดาบันเลยนะ พยากรณ์ตนด้วยตน คือ พยากรณ์ตนด้วยตนได้เลยว่าตนเองปิดอบายภูมิได้อย่างถาวร แล้วก็ทําลายสักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส พระองค์บอกให้พยากรณ์ตนเองมาตั้งแต่โสดาบันแล้วจนถึงขั้นสุดท้ายนู่น รู้ในตนเลย เข้าใจมั้ย? หลุดพ้นก็รู้ว่าย่อมมีญาณหยั่งว่าตนเองหลุดพ้น แต่ทีนี้มันมาผิดตรงที่มาเล่าให้คนฟังนี่ เข้าใจไหมทีนี้มันผิดตรงไหน หากเล่าแบบอวดผิด ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หากเล่าเพื่ออธิบายให้ทราบว่าผลแห่งการปฏิบัติยังเข้าถึงได้อยู่…ไม่ผิด! เข้าใจยัง ศาสนานี้ยังมีมรรคผลอยู่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล ไม่ใช่เรื่องเล่าในท้องเรื่องในตํารับตําราคัมภีร์ว่าการเข้าถึงมรรคผลมันเป็นไปไม่ได้ในยุคนี้ คนที่พูดถึงเรื่องการบรรลุมรรคผลเป็นพวกที่โอ้อวดตนเองทั้งนั้น เขาจะพูดอย่างนี้ เป็นพวกอวดอุตริ ทีนี้หากว่าผู้อธิบายหรือผู้เทศน์ประสงค์จะอธิบายให้ทราบว่ามรรคผลยังมีอยู่ การปฏิบัติตามหลักคําสอนยังส่งผลให้เกิดคุณค่าและ ยังมีคุณค่าทางด้านจิตใจ และสามารถดับทุกข์ได้จริง ประสงค์ที่จะพูดอย่างนี้ให้คนอื่นฟังจะเป็นพระด้วยกัน จะเป็นโยมด้วยกัน..ไม่ผิด แต่ประสงค์จะโอ้อวดแม้มีจริง..ผิด! แล้วร้อยทั้งร้อยพระอริยเจ้าไม่มีใครโอ้อวดตัวเอง ไม่มีตัวเองให้โอ้อวดแต่พูดเพื่อมุ่งประสงค์จะแสดงธรรมทั้งนั้น ตั้งแต่หลวงตามหาบัว องค์หลวงตาท่านก็บอกว่าเราเป็นพระอรหันต์คนหนึ่ง มันจะผิดไปไหนอ่ะ ท่านก็พูดได้เต็มปาก คือพยากรณ์ตนด้วยตน อันนี้เป็นการพยากรณ์ตนด้วยตน แต่เป็นการพยากรณ์โดยที่มีผู้อื่นฟังด้วยนะ มีญาติโยมฟังด้วยเค้าก็บอกว่าหลวงตาไปเป็นพระอรหันต์ได้ยังไงก็เห็นด่าคนเห็นเคี้ยวหมากอยู่ ไอ้หมากนั้นหรือจะเป็นอรหันต์
เอาหมากน่ะเหรอเป็นเครื่องหมายของความเป็นอรหันต์ คนไม่เคี้ยวหมากก็บรรลุอรหันต์กันจนหมดนะสิ การด่ากันน่ะเหรอเอามาเป็นเครื่องวัดความเป็นอรหันต์ พระอรหันต์จะต้องไม่ด่าใครเลยเหรอ เอ้าถามหน่อยพระพุทธเจ้าด่าพระมั้ยในครั้งพุทธกาล…ด่าใช่มั้ย! เอ้าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระอรหันต์สิ บางคนถือปฏิปทาเหมือนกันนะ ปฏิปทาวัตรอีกเหมือนกันว่าปฏิปทาวัตรบางอย่างน่ะภิกษุบางรูปฉันอาหารหนเดียวเป็นวัตร โอ้โห!! พระองค์นี้สุดยอดเคร่ง คือฉันแล้วลุกหนีแล้วไม่ฉันอีกเลย เคร่งคนนี้ต้องเป็นพระอรหันต์แน่ พระพุทธเจ้าฉัน 2 ครั้งบ้าง 3 ครั้งบ้างในเวลาเช้าน่ะนะ คือโยมถวายภัตตาหารเช้าในเวลาเช้าแล้ว ถวายอีกในเวลาต่อไป พระองค์ก็รับถวายอีกในเวลาต่อไปพระองค์ก็รับแต่ยังอยู่ในเวลาเช้าพระองค์ก็รับโปรดเค้าไปเรื่อย พระองค์ฉันหลายครั้งนี่พร่ำเพรื่อ ปฏิปทาวัตรไม่เคร่งเท่ากับภิกษุฉันหนเดียว เช่นพระมหากัสสปะแสดงว่าพระพุทธเจ้านี่ปฏิบัติย่อหย่อนกว่าพระมหากัสสปะ พระองค์ก็ใช้ไม่ได้ไม่ใช่พระอรหันต์ละมั้งนี่…จะว่ายังไง พระพุทธเจ้าบอกว่าข้อปฏิบัติบางอย่างตถาคตก็ไม่ได้เท่ากับสาวกบางรูป แต่ความเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะมีอยู่ในตถาคต สาวกบางรูปเป็นสาวกแต่ไม่ได้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ แต่ปฏิปทาวัตรเนี่ยยังรักษาอยู่เพื่ออะไรยังไง คือคนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถมองออกและแยกแยะออกแล้วจําไว้เลยว่า คนที่ปฏิบัติธรรมที่จิตกำลังไปได้ดีเนี่ยเวลาด่าเนี่ยเค้าจะด่าด้วยสติอย่างคมกริบเลยนะ
เข้าใจมั้ย เพราะฉะนั้นหลวงตามหาบัวด่านี่ ท่านไม่ได้ด่าด้วยการขาดสตินะนั่น สติท่านเต็มที่ท่านก็เลยด่าได้เต็มที่ ด่าลูกศิษย์ ด่าใครต่อใครนี่ท่านด่านะ ท่านด่าด้วยสติ ท่านไม่ได้ด่าด้วยความเกลียดโกรธแค้นใครเคืองใคร คนทั่วไปมองไม่ออกหรอก เพราะฉะนั้นการพูดถึงมรรคผลบางคนก็บอกว่า อ้าว!! แล้วท่านมาพูดอย่างนี้ในการพยากรณ์ตนเองเอาเองซึ่งไม่มีใครรู้ด้วยกับอาตมา ท่านก็มาพูดเอาเองว่าท่านพยากรณ์ตนเองว่าเป็นอย่างงั้นอย่างนี้ มันจะไม่เข้าข้างตัวเองไปเหรอ มันคล้ายๆ กับไม่เป็นการยกตัวเองเหรอ พระพุทธเจ้าบอกว่าหากเราไม่สามารถชมตัวเราได้ จะให้คนอื่นมาชมเราได้มั้ย คนที่จะชมเราได้ก่อนต้องเป็นตัวเราใช่มั้ย
ถ้าตนเองยังชมตัวเองไม่ได้ ไม่มีเรื่องอะไรที่น่าชื่นชมภายในตัวเองเลยเนี่ย จะให้คนอื่นมาชื่นชมได้มั้ย
มันต้องชมตัวเองก่อน ถามว่าชมตัวเองมันหลงตัวเองมั้ย..ไม่ใช่ มันต่างจากพวกที่หลงตัวเองแบบยังไม่มีอะไรน่าชื่นชมในตัวเองแล้วบอกว่าตัวเองดีอย่างงั้นตัวเองดีอย่างนี้ มันไม่ใช่ คนละเรื่อง อันนี้มันผ่านมาจน..อันไม่ดีของตนเอง(หมายถึงตัวพระ อ.ต้นเอง)ก็บอกอยู่นะ ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ไม่พูดนะ อันนั้นไม่ดีก็พูดให้คนอื่นฟังอยู่ ไม่ใช่จะมาพูดแต่อันดีนะ เข้าใจมั้ยล่ะ เค้าบอกเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เรื่องของความหมิ่นเหม่ต่อความเข้าใจผิดที่จะให้คนหลงผิดยึดว่าท่านเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ มันไม่ได้หมิ่นเหม่หมิ่นเหม่ออะไรเลย เป็นการพูดอย่างตรงไปตรงมา และมีหลักของมันในแต่ละอันที่เราเจอแล้วก็เราประสบในเรื่องของการบําเพ็ญภาวนาปฏิบัติมา และที่พูดนี้มันไม่มีอะไรปิดปากไม่ให้ได้พูดอีก ไม่มีกิเลสตัวไหนมาปิดปากไม่ให้พูด แต่ก่อนไม่พูดกับใครเรื่องพวกนี้ ถามว่าตอนนั้นมีกิเลสเหรอ..ไม่ใช่ มันไม่ใช่เวลาที่จะมาพูด แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่จะพูด แล้วรู้ได้ไงว่าเป็นเวลาที่ควรพูดหรือไม่ควรพูด ก็มีคนมายอมให้สอนแล้ว…จึงพูด ถ้าไม่มีคนมายอมให้สอนก็ไม่พูด หากเค้าไม่ยอมให้เราสอน เรามัวแต่ไปพูดไปบอกกับเค้าว่า เราสําเร็จมาอย่างนี้ เราบําเพ็ญมาอย่างนี้เราเข้าถึงอย่างนี้ ต้องทําตามเรานะเค้าไม่ยอมให้เราสอนแล้วไปบอก ไปบังคับให้เขามาทำตามเรา..ไม่ได้ มีคนมายอมให้บอก มีคนมายอมให้สอน ขอให้อาจารย์แนะนำ ขอให้อาจารย์สั่งสอน ของให้อาจารย์ชี้ทาง ก็บอกก็ชี้ทาง เพราะฉะนั้น การบอกการสอนอย่างนี้ เป็นการพูดออกไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ตาม จะเป็นการแสดงธรรมหรือการพูดอย่างนี้ หรือการสนทนาล้วนแล้วแต่เป็นการชี้ทาง..เข้าใจไหม ไม่ได้อวดตัวเองแต่ชี้ทางให้พวกเราได้เดิน แต่กี่ปี กี่ปีมันก็คอยบอกให้พระอาจารย์เทศน์ มาบอกให้พระอาจารย์เทศน์หมายถึงว่าให้พระอาจารย์ชี้ทาง ก็ครั้งก่อนก็ชี้ทางแล้ว ครั้งนี้มาอีก ก็บอกพระอาจารย์ชี้ทางให้หน่อย ก็ชี้ทาง ก็เทศน์บอกชี้ทางไปแล้ว พอมาอีกครั้งนี้ก็บอกว่าขอให้เทศน์ให้หน่อย คือให้ชี้ทางให้หน่อย ก็ชี้มากี่ปีแล้วทางอ่ะ เดินกันหรือยัง..เข้าใจ? เดินกันหรือยัง (เสียงลูกศิษย์ตอบ เดินแล้ว) ก็ยังให้ชี้อะไรอีกต่อไปล่ะ ยังต้องให้ชี้อีกไหมล่ะ คือยังต้องให้เทศน์แล้วเทศน์อีกอยู่ใช่ไหม เค้าบอกว่ากลัวหลงทาง เอ้ากลัวทำไม ก็ที่ชี้ไว้มันก็น่าจะเป็นเครื่องบ่งบอกได้แล้วว่า ทางไหนควรเดินไม่เดิน อ๋อ..ระหว่างทางมีความสงสัยกลัวไพล่จับทางผิดก็เลยบอกให้ชี้ต่ออีกหน่อย คือมันไปได้ขนาดนี้แล้ว
อันต่อไปให้ชี้ต่ออีกหน่อยนะ…ก็ดี ไม่ได้ชี้ ไม่ได้ชี้ในจุดเริ่มต้นแบบเดิม ไม่ใช่ว่ากี่ครั้งก็ไปชี้ตรงจุดเริ่มต้น กี่ครั้งก็ไปชี้ตรงจุดเริ่มต้น (ไม่ใช่) อันนี้มันชี้ต่อ ต่อ ต่อ ต่อ ต่อ เอออย่างนี้ก็ยังพอชี้อยู่ เพราะฉะนั้นเป็นแค่การชี้ทางเท่านั้น ทำให้กันไม่ได้ เดิน..หน้าที่เดินเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องเดินกันเอาเอง เดินมรรค เดินจิต เดินใจไป… แต่เราจะสังเกตุได้ว่าปีนี้เราจะฉลาดกว่าปีที่แล้ว ปีนี้สติเราก็จะดีกว่าปีที่แล้วใช่ไหม มีใครบ้างที่ปีนี้สติเลวร้ายกว่าปีที่แล้วบ้าง ถือว่าใช้ไม่ได้นะ ปีนี้สติมันดีขึ้นกว่าปีที่แล้วไหม ดีขึ้นแล้ว ปีที่แล้วสติไม่ค่อยดีใช่ไหม ดีอยู่? ปีนี้ดีกว่า อ๋อ…แสดงว่าครั้งที่แล้วก็ไม่ดีเท่าครั้งนี้ ถ้าสติไม่ดีก็เข้าโรงพยาบาลนะนั่น
**************************
จานต้น = แต่ที่มันผิดก็ตรงที่เล่าให้คุณฟังนี่ เข้าใจไหม ทีนี้มันผิดตรงไหน หากเล่าแบบอวดผิดต้องอาบัติปาจิตตีย์ หากเล่าเพื่ออธิบายให้ทราบผลแห่งการปฏิบัติ ยังเข้าถึงได้อยู่ไม่ผิด
ทีนี้เราท่านทั้งหลายลองมาดูสิ่งที่องค์พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอน มีปรากฎอยู่ใน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ จตุตถปาราชิกสิกขาบท เรื่องภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา ว่าอย่างไร
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลี ครั้งนั้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมา จำพรรษาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา ก็แลสมัยนั้น วัชชีชนบท อัตคัดอาหาร ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง มีข้าวตายฝอย ต้องมีสลากซื้ออาหาร ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถือบาตรแสวงหาก็ทำไม่ได้ง่าย จึงภิกษุเหล่านั้นคิดกันว่า บัดนี้วัชชีชนบทอัตคัดอาหาร ประชาชนหาเลี้ยงชีพ ฝืดเคือง มีข้าวตายฝอย ต้องมีสลากซื้ออาหาร ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถือบาตรแสวงหา ก็ทำไม่ได้ง่าย พวกเราจึงจะพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกันไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และจะไม่ต้องลำบากด้วยบิณฑบาต ด้วยอุบายอย่างไรหนอ
ภิกษุบางพวกพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย มิฉะนั้น พวกเราจงช่วยกันอำนวยกิจการอันเป็นหน้าที่ของพวกคฤหัสถ์เถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตแก่พวกเราด้วยอุบายอย่างนี้ พวกเราจักเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และจักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต
ภิกษุบางพวกพูดอย่างนี้ว่า ไม่ควร ท่านทั้งหลาย จะประโยชน์อะไรด้วยการช่วยกันอำนวยกิจการ อันเป็นหน้าที่ของพวกคฤหัสถ์ ท่านทั้งหลาย ผิฉะนั้น พวกเราจงช่วยกันนำข่าวสาส์นอันเป็นหน้าที่ทูตของพวกคฤหัสถ์เถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตแก่พวกเรา ด้วยอุบายอย่างนี้ พวกเราจักเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และจักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต
ภิกษุบางพวกพูดอย่างนี้ว่า อย่าเลย ท่านทั้งหลาย จะประโยชน์อะไรด้วยการช่วยกันอำนวยกิจการ อันเป็นหน้าที่ของพวกคฤหัสถ์ จะประโยชน์อะไรด้วยการช่วยกันทำข่าวสาส์นอันเป็นหน้าที่ทูตของพวกคฤหัสถ์ ท่านทั้งหลาย มิฉะนั้น พวกเราจักกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ว่า ภิกษุรูปโน้นได้ปฐมฌาน รูปโน้นได้ทุติยฌาน รูปโน้นได้ตติยฌาน รูปโน้นได้จตุตถฌาน รูปโน้นเป็นพระโสดาบัน รูปโน้นเป็นพระสกทาคามี รูปโน้นเป็นพระอนาคามี รูปโน้นเป็นพระอรหันต์ รูปโน้นได้วิชชา ๓ รูปโน้นได้อภิญญา ๖ ดังนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตแก่พวกเรา ด้วยอุบายอย่างนี้ พวกเราก็จักเป็นผู้พร้อมเพรียงกันร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุกและจักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต
ภิกษุเหล่านั้นมีความเห็นร่วมกันว่า อาวุโสทั้งหลาย การที่พวกเราพากันกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์นี้แหละ ประเสริฐที่สุด แล้วพากันกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ว่า ภิกษุรูปโน้นได้ปฐมฌาน รูปโน้นได้ทุติยฌาน รูปโน้นได้ตติยฌาน รูปโน้นได้จตุตถฌาน รูปโน้นเป็นพระโสดาบัน รูปโน้นเป็นพระสกทาคามี รูปโน้นเป็นพระอนาคามี รูปโน้นเป็นพระอรหันต์ รูปโน้นได้วิชชา ๓ รูปโน้นได้อภิญญา ๖ ดังนี้
ครั้นต่อมา ประชาชนเหล่านั้นพากันยินดีว่า เป็นลาภของพวกเราหนอ พวกเราได้ดีแล้วหนอ ที่มีภิกษุทั้งหลายผู้มีคุณพิเศษเห็นปานนี้ อยู่จำพรรษาเพราะก่อนแต่นี้ ภิกษุทั้งหลายที่อยู่จำพรรษาของพวกเรา จะมีคุณสมบัติเหมือนภิกษุผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านี้ไม่มีเลย โภชนะ ชนิดที่พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น พวกเขาไม่บริโภคด้วยตน ไม่ให้มารดาบิดา บุตรภรรยา คนรับใช้ กรรมกร มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต ของเคี้ยวชนิดที่พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น พวกเขาไม่เคี้ยวด้วยตน ไม่ให้มารดาบิดา บุตรภรรยา คนรับใช้ กรรมกร มิตร อำมาตย์ญาติสาโลหิต ของลิ้มชนิดที่พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น พวกเขาไม่ลิ้มด้วยตน ไม่ให้มารดาบิดา บุตรภรรยา คนรับใช้ กรรมกร มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต น้ำดื่มชนิดที่พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น พวกเขาไม่ดื่มด้วยตน ไม่ให้มารดาบิดา บุตรภรรยา คนรับใช้ กรรมกร มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต จึงภิกษุเหล่านั้น เป็นผู้มีน้ำนวล มีอินทรีย์ผ่องใส มีสีหน้าสดชื่น มีผิวพรรณผุดผ่อง ก็การที่ภิกษุทั้งหลายออกพรรษาแล้วเข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคนั่นเป็นประเพณี ครั้นภิกษุเหล่านั้นจำพรรษาโดยล่วงไตรมาสแล้วเก็บเสนาสนะ ถือบาตรจีวรหลีกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่พระนครเวสาลี เที่ยวจาริกโดยลำดับ ถึงพระนครเวสาลี ป่ามหาวัน กูฏาคารศาลา แล้วเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ก็โดยสมัยนั้นแล พวกภิกษุผู้จำพรรษาอยู่ในทิศทั้งหลายเป็นผู้ผอมซูบซีด มีผิวพรรณหมอง เหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น ส่วนภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา เป็นผู้มีน้ำนวล มีอินทรีย์ผ่องใส มีสีหน้าสดชื่น มีผิวพรรณผุดผ่อง ก็การที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลาย นั่นเป็นพุทธประเพณี ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุ พวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ร่างกายของพวกเธอยังพอทนได้หรือ ยังพอให้เป็นไปได้หรือ พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกันอยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตหรือ
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ยังพอทนได้พระพุทธเจ้าข้า ยังพอเป็นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า อนึ่ง พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกันไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุกและไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต พระพุทธเจ้าข้า
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต ด้วยวิธีการอย่างไร
ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลเนื้อความนั้น ให้ทรงทราบแล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คุณวิเศษของพวกเธอนั่น มีจริงหรือ
ภิกษุตรัสตอบว่า ไม่มีจริง พระพุทธเจ้าข้า
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ โอกาสหน้าเราท่านทั้งหลายมาตามดูว่า องค์พระบรมศาสดาทรงตรัสอย่างไรแก่ภิกษุผู้มาจากแม่น้ำวัคคุมุทา ว่าประการใด
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–
——————————————–