มหาปรินิพพานสูตร (ตอนที่ ๑๕)
๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระบรมศาสดาทรงสอนพระอานนท์ถึงถูปารหบุคคล (บุคคลที่พึงเป็นต้นแบบที่ดี ควรแก่การเคารพบูชา) ๔ จำพวก อันได้แก่
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่ง
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า เป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่ง
สาวกของพระตถาคตเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่ง
พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่ง
กาลต่อมา เมื่อท่านพระอานนท์ได้รู้แน่ชัดแล้วว่า บัดนี้องค์พระประทีปแจ้งกำลังจะดับลาลับโลกนี้ไปแล้ว จึงเข้าไปสู่ที่พักยืนเหนี่ยวไม้คันทวยร้องไห้คร่ำครวญอยู่ว่า เรายังเป็นเสขบุคคลมีกิจที่จะต้องทำอยู่ แต่พระศาสดาของเรา ซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์เรา ก็จักปรินิพพานเสียแล้ว ต่อไปเราจักไปพึ่งใคร
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งถามพวกภิกษุว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไปไหน
พวกภิกษุกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านอานนท์นั้น เข้าไปสู่วิหารยืนเหนี่ยวไม้คันทวยร้องไห้อยู่ว่า เรายังเป็นเสขบุคคล มีกิจที่จะต้องทำอยู่ แต่พระศาสดาของเรา ซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์เรา ก็จักปรินิพพานเสียแล้วแต่กาลนี้
พระผู้มีพระภาคจึงรับสั่งกะภิกษุรูปหนึ่งว่าเธอจงไปเถิดภิกษุ จงบอกอานนท์ตามคำของเราว่า ท่านอานนท์ พระศาสดารับสั่งหาท่าน ภิกษุนั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาท่านพระอานนท์แล้ว แจ้งให้ท่านได้ทราบว่า
ท่านอานนท์ พระศาสดารับสั่งเรียกหาท่าน
ท่านพระอานนท์รับคำภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
เมื่อพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาครับสั่งกะท่านว่าอย่าเลย อานนท์ เธออย่าเศร้าโศก ร่ำไรไปเลย เราได้บอกไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือว่า ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นที่ต้องจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นนั้นต้องมี เพราะฉะนั้น จะพึงหวังอะไรได้ในของรักของชอบใจนี้มีมาแต่เก่าก่อนซะที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว ล้วนมีความแตกสลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าแตกสลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้
ดูกรอานนท์ เธอได้อุปัฏฐากตถาคตด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันประกอบด้วยเมตตา ซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นความสุข ไม่มีผู้ใดสามารถเสมอเหมือนมาช้านาน เธอได้กระทำบุญอันดีไว้แล้ว อานนท์ จงประกอบความเพียรเถิด เธอจักเป็นผู้ไม่มีอาสวะในไม่ช้า
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายพระองค์ใด แม้ในอดีตกาล ที่จักมีภิกษุผู้เป็นผู้อุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคทั้งหลายนั้น เสมอเหมือนอานนท์ได้นั้นเป็นไม่มี แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายใด จักมีในอนาคตกาลจักมีภิกษุผู้เป็นอุปัฏฐาก เสมอด้วยพระอานนท์นั้นหามีได้ไม่
อานนท์เป็นบัณฑิต ย่อมรู้ว่า นี้เป็นกาลเพื่อจะเข้าเฝ้าพระตถาคต นี้เป็นกาลของพวกภิกษุ นี้เป็นกาลของพวกภิกษุณี นี้เป็นกาลของพวกอุบาสก นี้เป็นกาลของพวกอุบาสิกา นี้เป็นกาลของพระราชา นี้เป็นกาลของราชมหาอำมาตย์ นี้เป็นกาลของพวกเดียรถีย์ นี้เป็นกาลของพวกสาวกเดียรถีย์ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรมอันน่าอัศจรรย์ ๔ ประการนี้ มีอยู่ในอานนท์ อัพภูตธรรม ๔ ประการ เป็นไฉน
(อัพภูตธรรม หมายถึง คำสอนที่เป็นเหตุอัศจรรย์ เรื่องอัศจรรย์ คือพระสูตรที่กล่าวถึงข้ออัศจรรย์ต่างๆ เอาไว้วันหน้าจะนำมาเล่าสู่กันฟัง)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุบริษัททั้งหลายปรารถนาเข้าไปเพื่อที่จะได้เห็นอานนท์ ภิกษุบริษัทนั้นย่อมยินดี ถ้าอานนท์แสดงธรรมในหมู่ภิกษุบริษัทนั้น แม้ด้วยการแสดงธรรม ภิกษุบริษัทนั้นก็ยินดี ภิกษุบริษัทเหล่านั้นดูจักยังไม่อิ่ม ไม่เต็มในธรรมนั้นๆ เลย จนอานนท์ต้องหยุดแสดงธรรมด้วยตนเองในเวลานั้น
แม้ภิกษุณีบริษัทเข้าไปเพื่อจะเห็นอานนท์ ภิกษุณีบริษัทนั้นย่อมยินดี ถ้าอานนท์แสดงธรรมในภิกษุณีบริษัทนั้น แม้ด้วยการแสดง ภิกษุณีบริษัทนั้นก็ยินดี ภิกษุณีบริษัทยังไม่อิ่ม ไม่เต็มในธรรมนั้นๆ เลย จนอานนท์ต้องหยุดแสดงธรรมด้วยตนเองในเวลานั้น
แม้อุบาสกบริษัทเข้าไปเพื่อจะเห็นอานนท์ อุบาสกบริษัทนั้นย่อมยินดี ถ้าอานนท์แสดงธรรมในอุบาสกบริษัทนั้น แม้ด้วยการแสดง อุบาสกบริษัทนั้นก็ยินดี อุบาสกบริษัทยังไม่อิ่ม ไม่เต็มในธรรมนั้นๆ เลย จนอานนท์ต้องหยุดแสดงธรรมด้วยตนเองในเวลานั้น
แม้อุบาสิกาบริษัทเข้าไปเพื่อจะเห็นอานนท์ อุบาสิกาบริษัทนั้นย่อมยินดี ถ้าอานนท์แสดงธรรมในอุบาสิกาบริษัทนั้น แม้ด้วยการแสดง อุบาสิกาบริษัทนั้นก็ยินดี อุบาสิกาบริษัทยังไม่อิ่ม ไม่เต็มในธรรมนั้นๆ เลย จนอานนท์ต้องหยุดแสดงธรรมด้วยตนเองในเวลานั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรมอันน่าอัศจรรย์ ๔ ประการนี้แลมีอยู่ในอานนท์ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรมน่าอัศจรรย์ ๔ ประการนี้ มีอยู่ในพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าขัตติยบริษัทปรารถนาที่จักเข้าไปเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ ในเวลาอันควร ขัตติยบริษัทนั้นย่อมยินดี ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิมีพระราชดำรัสขัตติยบริษัทนั้น ขัตติยบริษัทนั้นย่อมยินดี ขัตติยบริษัทก็จะยังไม่อิ่ม ไม่เต็มและปรารถนาที่จักฟังพระดำรัสต่อไปจวบจน พระเจ้าจักรพรรดิต้องทรงหยุดตรัสด้วยพระองค์เองในเวลานั้น
ถ้าพราหมณ์บริษัทปรารถนาที่จักเข้าไปเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ ในเวลาอันควร พราหมณ์บริษัทนั้นย่อมยินดี ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิมีพระราชดำรัสในพราหมณ์บริษัทนั้น พราหมณ์บริษัทนั้นย่อมยินดี พราหมณ์บริษัทนั้นจะยังไม่อิ่ม ไม่เต็มและปรารถนาที่จักฟังพระดำรัสต่อไปจวบจน พระเจ้าจักรพรรดิทรงต้องหยุดตรัสด้วยพระองค์เองในเวลานั้น
ถ้าคฤหบดีบริษัทปรารถนาที่จักเข้าไปเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ ในเวลาอันควร คฤหบดีบริษัทนั้นย่อมยินดี ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิมีพระราชดำรัสในคฤหบดีบริษัทนั้น คฤหบดีบริษัทนั้นย่อมยินดี คฤหบดีบริษัทนั้นจะยังไม่อิ่ม ไม่เต็มและปรารถนาที่จักฟังพระดำรัสต่อไปจวบจน พระเจ้าจักรพรรดิทรงต้องหยุดตรัสด้วยพระองค์เองในเวลานั้น
ถ้าสมณบริษัทปรารถนาที่จักเข้าไปเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ ในเวลาอันควร สมณบริษัทนั้นย่อมยินดี ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิมีพระราชดำรัสในสมณบริษัทนั้น สมณบริษัทนั้นย่อมยินดี สมณบริษัทนั้นจะยังไม่อิ่ม ไม่เต็มและปรารถนาที่จักฟังพระดำรัสต่อไปจวบจน พระเจ้าจักรพรรดิทรงต้องหยุดตรัสด้วยพระองค์เองในเวลานั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลายอัพภูตธรรมอันน่าอัศจรรย์ ๔ ประการนี้แล มีอยู่ในอานนท์ ฯ
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ
ความพลัดพรากจากของรัก ของเจริญใจ อย่าว่าแต่มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านทั้งหลายเลย แม้เป็นถึงพระโสดาปัตติผลอย่างท่านพระอานนท์ก็ยังต้องแอบไปยืนร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตามลำพัง ด้วยอำนาจอุปาทานในขันธ์นี้ มันช่างมีแรง มีพลังผูกรั้งให้สรรพสัตว์ต้องว้าวุ่น ทุรนทุราย ร่ำไรรำพัน ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ ความอยาก ความยึดถือ
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–