พระภัททากัจจานาเถรี (พระนางยโสธรา,พระนางพิมพา) ตอนที่ 11

0
32

พระภัททากัจจานาเถรี (พระนางยโสธรา,พระนางพิมพา) ตอนที่ ๑๑
๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๗

ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ ดาบสรูปหนึ่งได้อธิบายความหมายของการอนุโมทนา จงสำเร็จเหมือนภพปฐวินทรนาคราช หมายความว่า ขอให้สมบัติของท่านจงมีเหมือนสมบัติของพญานาคชื่อว่า ปฐวินทร แก่กฎุมพี

ส่วนดาบสอีกรูปหนึ่ง เมื่อเสร็จภัตรกิจแล้ว เพื่อที่จะพักกลางวัน ท่านมีความคุ้นเคยกับภพดาวดึงส์ ในเสริสกวิมานที่ว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เครื่องประดับประดาใดๆ ในทิพยวิมานนั้นๆ เลย
นี่ก็เป็นเพราะเจ้าของวิมานมีแต่ศรัทธา มีแต่ฌาน ไม่เคยทำทานใดๆ สมบัติทั้งหลายจึงไม่สมบูรณ์

เมื่อท่านไม่พึงพอใจในวิมานนั้น จึงได้เที่ยวเล่นไปยังดาวดึงส์พิภพนั้น ได้เห็นวิมานของท้าวสักกเทวราชว่ามีทิพยสมบัติมากมายและสวยงามเพียงใด เวลาที่จะกระทำอนุโมทนาแก่อุปัฏฐากของตน ก็กล่าวว่าสมบัติของท่านจงเป็นเหมือนสักกวิมาน

ครั้งนั้น กฎุมพี จึงถามดาบสนั้นเหมือนอย่างสหายอีกคนหนึ่งถามดาบสอีกตนหนึ่งว่า อะไรชื่อว่า สักกวิมาน

ดาบสตนนั้น จึงได้อธิบายให้กฎุมพีนั้นได้เห็นถึงทิพยสมบัติของท้าวสักกเทวราช

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น จึงตั้งจิตมั่นอธิษฐาน ปรารถนาให้ตนได้ไปเกิดอยู่ในภพของท้าวสักกะ

ด้วยกุศลกรรมที่สหายทั้งสองได้บำเพ็ญมา เมื่อทั้งสองสิ้นชีวิตลงแล้ว ต่างก็ได้ไปเกิดในภพที่ตนตั้งจิตปรารถนาไว้นั้น สหายผู้ที่เกิดในภพของปฐวินทรนาคราช ก็มีชื่อว่า ปฐวินทรนาคราชา สหายผู้เกิดเป็นพญานาคราชนั้น เมื่อเห็นสภาพของตนที่เกิดมาในเพศของนาคนั้น ก็เกิดความร้อนใจว่า การเกิดของเราอยู่ในฐานะที่ไม่น่าพอใจเสียจริงหนอ ต้องมาเกิดเป็นเดรัจฉานต้องเลื้อยไปด้วยท้อง เห็นทีดาบสที่ให้พรเราเช่นนั้น คงจะไม่รู้ที่อื่น ๆ ที่ดีกว่าเป็นแน่แท้

ส่วนสหายอีกท่านหนึ่งที่ไปเกิดเป็นท้าวสักกะในภพดาวดึงส์ ต่อมาก็ถึงเวลาที่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ที่มีหน้าที่จะต้องไปเฝ้าท้าวสักกเทวราชทุกๆ กึ่งเดือน ปฐวินทรนาคราชานั้นก็ต้องไปเฝ้าท้าวสักกะพร้อมกับพญานาคชื่อวิรูปักษ์ด้วย

จึงได้กลายเพศเป็นมาณพน้อย แล้วไปเข้าเฝ้าท้าวสักกเทวราชทุกกึ่งเดือน

ในเวลาที่ท่านได้เข้าเฝ้าท้าวสักกเทวราช ท้าวสักกะเห็นพญานาคนั้นก็จำได้ว่าเป็นสหายเก่า จึงถามพญานาคนั้นในเวลายืนอยู่ในที่ใกล้ว่า สหาย ท่านไปเกิดที่ไหน

พญานาคกล่าวว่า ท่านมหาราช อย่าถามเลย ข้าพเจ้าไปเกิดในที่ที่ต้องเลื้อยไปด้วยท้อง ส่วนท่านได้อยู่ในที่ที่ดีแล้ว

ท่านสักกะตรัสว่า สหาย ท่านอย่าวิตกเลยว่าเกิดในที่ไม่สมควร พระทศพลพระนามว่า ปทุมุตตระทรงบังเกิดในโลกแล้ว ท่านจงกระทำกุศลกรรมแด่พระพุทธ พระองค์นั้นแล้วตั้งความปรารถนาให้ได้ฐานะที่ดีกว่านี้เถิด เราทั้ง ๒ จักได้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข

พญานาคนาคนั้นกล่าวว่า ข้าแต่องค์เทวะ ข้าพเจ้าจักกระทำอย่างนั้น

ครั้นเมื่อกลับสู่นาคพิภพแล้ว จึงไปจัดแจงเครื่องสักการะอันพร้อมมูล ทั้งขาทนียะ โภชนียาหาร เพื่อเตรียมถวายพระศาสดาและเหล่าพระภิกษุ พร้อมกับนาคบริษัท

องค์พระบรมศาสดาปทุมุตตระ ทรงรับนิมนต์ด้วยอาการดุษณี

วันรุ่งขึ้น เมื่อรุ่งอรุณ พระศาสดาตรัสเรียกพระสุมนเถระ ผู้อุปัฏฐากของพระองค์ว่า สุมนะ วันนี้ตถาคตจักไปภิกขาจาร ณ ที่ไกล ภิกษุปุถุชนนั้นไม่สามารถไปด้วย จงไปแต่พระผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้มีอภิญญา ๖ เถิด พระเถระสดับพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว แจ้งแก่ภิกษุทั้งปวง

ภิกษุทั้งหมดผู้มีอภิญญาประมาณแสนหนึ่งได้เหาะไปพร้อมกับพระศาสดาสู่นาคพิภพ พญานาคปฐวินทรกับนาคบริษัทก็มารอรับเสด็จพระทศพล แลดูพระภิกษุสงฆ์ที่ล้อมพระศาสดาซึ่งกำลังเสด็จมา ดุจดังองค์สุริยะฉายแสงให้เรืองรองยามเช้า ที่รายล้อมไปด้วยหมู่เมฆาน้อยใหญ่ ดุจดังองค์จันทราธิราชยามข้างขึ้น ช่วงสุดสว่าง กระจ่างใส งดงามยิ่ง

พระสงฆ์นวกะผู้มีอภิญญาจนถึงสามเณรชื่ออุปเรวตะผู้เป็นโอรสของพระตถาคตเหาะตามมาอยู่รั้งท้ายพญานาคปฐวินทรจึงเกิดปีติปราโมทย์ดำริว่า การที่พระสาวกทั้งหลายที่เป็นพระภิกษุได้แสดงอานุภาพเห็นปานนี้ยังไม่น่าอัศจรรย์ แต่ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่า คือ สามเณรองค์เล็กที่ต่อท้ายขบวนนี้ต่างหากเล่าที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

ครั้นเมื่อพระทศพลประทับนั่งที่ภพของพญานาคนั้นแล้ว พระภิกษุทั้งหลายก็นั่งเรียงกันตามลำดับอาวุโส พญานาคเมื่อถวายข้าวยาคูก็ดี เมื่อถวายของเคี้ยวก็ดี แลดูพระทศพลที่หนึ่ง ดูสามเณรอุปเรวตะทีหนึ่ง

ครั้งได้สังเกตเห็นรูปร่างหน้าตาลักษณะของสามเณรน้อย เสมือนดังองค์พระพุทธเจ้าเป็นยิ่งนัก ก็สงสัยว่าท่านเป็นอะไรกันหนอ ต่อมาจึงถามภิกษุรูปหนึ่งผู้นั่งไม่ไกลว่า

ท่านเจ้าข้า สามเณรรูปนี้เป็นอะไรกับพระทศพลหรือขอรับ

ภิกษุนั้นตอบว่า มหาบพิตร สามเณรรูปนั้นเป็นหน่อเนื้อของพระพุทธองค์

ปฐวินทรนาคราชจึงดำริว่า สามเณรรูปนี้มีเกียรติยศใหญ่ยิ่งหนอ จึงได้เป็นโอรสของพระตถาคตผู้สง่างามเห็นปานนี้ แม้สรีระของท่านก็ปรากฏเสมือนพระสรีระของพระพุทธเจ้าดังองค์เดียวกัน แม้ตัวเราก็ควรเป็นอย่างนี้ในอนาคตกาล จึงถวายมหาทานอันวิจิตรเลิศล้ำอยู่ตลอด ๗ วัน แล้วตั้งจิตอธิษฐาน ปรารถนาต่อหน้าองค์พระปทุมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ว่า

พระเจ้าข้า ด้วยผลบุญนี้ของข้าพระองค์พึงจงส่งผลให้ได้เป็นโอรสของพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตเหมือนอุปเรวตะสามเณรนี้เถิดพระเจ้าข้า

ด้วยอานุภาพแห่งกุศลกรรมนี้ พระศาสดาทรงเห็นว่า หาอันตรายมิได้ จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตมหาบพิตรจักเป็นโอรสแห่งพระพุทธเจ้า พระนามว่าโคตมะ ดังนี้แล้วเสด็จกลับไป
ส่วนปฐวินทรนาคราช เมื่อถึงกึ่งเดือนอีกครั้งหนึ่งก็ไปเฝ้าท้าวสักกะกับพญานาคชื่อวิรูปักษ์ คราวนี้ท้าวสักกะตรัสถาม พญานาคนั้นผู้มายืนอยู่ในที่ใกล้ว่า สหาย ท่านกระทำมหาทานเพื่อปรารถนาเทวโลกนี้แล้วหรือ

ปฐวินทรนาคราช ตอบว่า ข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาเทวโลกนี้ดอกเทวราช

ท้าวสักกะ ท่านเห็นโทษอะไร เล่า?

ปฐวินทรนาคราช ทูลว่า โทษในเทวโลกนี้หาได้มีไม่มหาราช แต่ข้าพเจ้าเห็นสามเณรอุปเรวตะโอรสของพระทศพล ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้เห็นสามเณรนั้นก็มิได้น้อมจิตไปพึงใจในที่อื่นเลย ข้าพเจ้าพึงใจ พอใจกระทำความปรารถนาว่าในอนาคตกาล ขอข้าพเจ้าพึงได้เป็นโอรสของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ข้าแต่มหาราช แม้พระองค์ก็จงกระทำความปรารถนาเช่นนี้เถิด เราทั้ง ๒ จักไม่พรากกันในที่ ๆ เกิดใหม่

จบแล้วจ้า

โปรดติดตามตอนต่อไป

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid0NWY5VznLdgwMQrBhaccCWXYD5yuk2SbX3NePFyvhMJhojkfrm2AXtuXry3dSuLJRl