พระภัททากัจจานาเถรี (พระนางยโสธรา,พระนางพิมพา) ตอนที่ 5

0
24

พระภัททากัจจานาเถรี (พระนางยโสธรา,พระนางพิมพา) ตอนที่ ๕
๓๐ เมษายน ๒๕๖๗

หลังจากพระสารีบุตรให้บรรพชาสามเณรราหุลแล้ว พระมหากัสสปะเถระ ก็นำตัวไปยังสำนักของท่านเพื่อสั่งสอนจริยาของสมณะผู้สงบ ว่าสิ่งใดควรทำได้ สิ่งใดมิควรทำ แล้วถ้าทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร จะมีผลกรรมตอบสนองอย่างไร

สามเณรราหุลเป็นผู้ใฝ่เรียนสงสัยในสิ่งที่ควรสงสัย แล้วมักจะมีคำถามมาไต่ถามพระมหากัสสปะและพระสารีบุตรอยู่เนื่องๆ

กาลต่อมา ถึงเวลาที่สามเณรราหุลพร้อมที่จะบวชเป็นพระภิกษุได้ครึ่งพรรษา ท่านได้พักอยู่ที่ป่าอันธวัน เขตพระนครสาวัตถี (พระสารีบุตร เป็นอุปัชฌาย์)

ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงหลีกเร้นประทับอยู่ในที่รโหฐาน ได้ทรงตรึกในพระหฤทัยขึ้นอย่างนี้ว่าราหุลมีธรรมที่บ่มทางวิมุตติจนแก่กล้ามากแล้ว ถ้ากระไร เราพึงแนะนำราหุลในธรรมที่สิ้นอาสวะยิ่งขึ้นในกาลนี้เถิด

ต่อมา พระผู้มีพระภาคทรงครองสบง ทรงบาตรจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถีในเวลาเช้า ครั้นเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาพระกระยาหารแล้วได้ตรัสกะท่านพระราหุลว่า

ดูกรราหุล เธอจงถือผ้ารองนั่ง เราจักเข้าไปยังป่าอันธวัน เพื่อพักผ่อนกลางวันกัน

ท่านพระราหุลทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า แล้วจึงถือผ้ารองนั่งติดตามพระผู้มีพระภาคไป ณ เบื้องพระปฤษฎางค์

ก็สมัยนั้นแล เทวดาหลายพันตนได้ติดตามพระผู้มีพระภาคไปด้วยทราบว่า

วันนี้ องค์พระผู้มีพระภาคจักทรงแนะนำท่าน พระราหุลให้ตั้งมั่นอยู่ในธรรมที่สิ้นอาสวะยิ่งขึ้น พวกเราควรไปร่วมสดับฟังธรรมอันเป็นมงคลนั้น

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าถึงป่าอันธวันแล้ว จึงประทับนั่ง ณ อาสนะที่ท่านพระราหุลแต่งตั้ง ณ โคนไม้แห่งหนึ่งแม้ท่านพระราหุลก็ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

พอทรงประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า

ดูกรราหุล เธอจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน

จักษุ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

รูป เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

จักษุวิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

จักษุสัมผัส เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

โสตะ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

ฆานะ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

ชิวหา เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

กาย เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

มโน เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

ธรรมารมณ์ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

มโนวิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

มโนสัมผัส เที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ ที่เกิดเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้น เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า ฯ

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ฯ

เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า ฯ

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่ จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรานั่นเรา นั่นอัตตาของเรา

ไม่ควร พระพุทธเจ้าข้า ฯ

ดูกรราหุล อริยสาวกผู้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ…แม้ในรูป …แม้ในจักษุวิญญาณ…แม้ในจักษุสัมผัส

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยนั้น ฯ

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโสตะ …แม้ในเสียง …แม้ในฆานะ แม้ในกลิ่น แม้ในชิวหา…แม้ในรส …แม้ในกาย…แม้ในโผฏฐัพพะ …แม้ในมโน …แม้ในธรรมารมณ์ แม้ในมโนวิญญาณ…แม้ในมโนสัมผัส

ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยนั้น ฯ

เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณทัศนะหนึ่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้วและทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีแล้ว ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว จิตของท่านพระราหุลหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น และเทวดาหลายพันตนนั้นได้เกิดดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลีหมดมลทินว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

สิ่งนั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ฯ

จบแค่นี้ก่อนนะจ๊ะ

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid0bSuoV4QtWUaiZmCkkrZgioMrAaKkiocjb6M9qmQhhDJJu29sz6uK38fALKkSJ5GSl