พระภัททกาปิลานีเถรี (ตอนที่ ๕)
๑๗ มีนาคม ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ กฎุมพีได้ถวายผ้าสาฏก แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเพื่อทำผ้าอนุวาต พร้อมทั้งได้กล่าวอาราธนานิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าไปภิกษาจารยังเรือนของตน
ครั้งถึงรุ่งเช้าพระปัจเจกพุทธเจ้า เสด็จเข้าไปบิณฑบาตรยังเรือนของกฏุมพีนั้น น้องสาวของกฏุมพีถวายบิณฑบาตรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว จึงกล่าวพาดพิงกระแนะกระแหนในเชิงตั้งความปรารถนาถึงพี่สะใภ้ว่า ขอให้เราจงห่างไกลหญิงพาลเช่นนี้ร้อยโยชน์
ภรรยาของกฏุมพีจึงจับบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้ามาเทอาหารบิณฑบาตรนั้นทิ้งเสียแล้วเอาเปือกตมมาใส่จนเต็มบาตร เพื่อแกล้งน้องสามีไม่ให้ได้รับผลอันเลิศจากทาน
น้องสาวเขาเห็นพี่สะใภ้ทำเช่นนั้นจึงกล่าวว่า นางหญิงพาล หากเจ้าไม่พอใจเราก็จงด่าจงบริภาษเราแต่ผู้เดียวเถิด การเทภัตตาหารจากบาตรของท่านผู้ได้บำเพ็ญบารมีมา ๒ อสงไขยเช่นนี้ แล้วใส่โคลนตมให้ในบาตรแทนเช่นนี้ เป็นการไม่สมควรเลย
นางครั้นได้ฟังก็เกิดความสำนึกขึ้นได้ จึงกล่าวว่า โปรดหยุดก่อนเจ้าข้า แล้ว นางจึงเข้ารับบาตรจากมือพระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมทั้งเทเปือกตมนั้นออก ล้างบาตรแล้วชโลมด้วยผงเครื่องหอม ได้ใส่ของมีรสอร่อย ๔ อย่างเต็มบาตรอันควร ถวายบาตรนั้นลงในมือของพระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมทั้งตั้งความปรารถนาว่า สรีระของเราจงผุดผ่องเหมือนบิณฑบาตรอันผุดผ่องนี้เถิด
ผัวเมียแม้ทั้งสองนั้นเมื่อครบชั่วอายุขัยแล้ว ตายลงก็ไปเกิดบนสวรรค์ จุติจากสวรรค์นั้นอีกครั้ง กฏุมพีเกิดเป็นบุตรเศรษฐีมีสมบัติ ๘๐ โกฏิในกรุงพาราณสี
ในครั้งพระกัสสปทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝ่ายนางภัททกาปิลานีได้มาเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีเหมือนกันกับปิบผลิมานพ เมื่อเขาทั้งสองเจริญวัย พวกญาติก็นำธิดาของเศรษฐีนั้นมายังเรือนบุตรชายของเศรษฐีหมายจะตกแต่งทั้งสองให้เป็นภรรยากัน
ด้วยอานุภาพของกรรมที่นางได้เคยนำเอาโคลนตมใส่ลงไปในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า เพื่อแกล้งน้องสามีไม่ให้ได้รับผลอันเลิศจากทานที่นางได้นำภัตตาหารอย่างดีใส่ในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่นางภัททากลับเทอาหารนั้นทิ้ง แล้วนำโคลนตมที่มีกลิ่นเหม็นใส่ลงไปในบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นแทน
พอนางมาเกิดในชาตินี้จนเติบใหญ่ นางจึงถูกส่งตัวเข้าไปยังตระกูลของสามี ทั่วทั้งสรีระก็เกิดกลิ่นเหม็นเหมือนส้วมที่เขาเปิดไว้ ตั้งแต่ย่างเข้าไปภายในธรณีประตู เศรษฐีผู้เป็นพ่อของสามีนางจึงถามว่า กลิ่นเหม็นนี้เป็นของใคร
ครั้นได้ฟังว่าเป็นกลิ่นของลูกสะใภ้ จึงให้นำส่งตัวนางกลับไปยังเรือนของตระกูลนาง กลิ่นเหม็นในตัวนางก็หายไป แต่เมื่อเศรษฐีส่งธิดากลับไปยังเรือนของสามีกลิ่นเหม็นนั้นก็หายไปในทำนองนี้ถึง ๗ ครั้ง
ครั้นเมื่อพระกัสสปทศพลเสด็จปรินิพพานแล้ว พุทธศาสนิกชนเริ่มก่อพระเจดีย์สูงโยชน์หนึ่งด้วยอิฐทอง ทั้งหนาทั้งแน่น มีราคาก้อนละหนึ่งแสน เมื่อเขากำลังสร้างพระเจดีย์กันอยู่
ธิดาเศรษฐีคนนั้นคิดว่า เราต้องถูกส่งกลับไปๆ มาๆ ให้แก่บ้านสามีจนได้รับความอับอายไปทั่วพระนครถึง ๗ ครั้งแล้ว ชีวิตของเราจะมีประโยชน์อะไรที่จักดำรงอยู่ จึงให้ยุบสิ่งของเครื่องประดับตัวนาง แล้วนำไปทำเป็นอิฐทอง ยาวศอก กว้างคืบ สูง ๔ นิ้ว และถือก้อนหรดาลและมโนศิลา เก็บเอาดอกบัว ๘ กำ ไปยังสถานที่ที่สร้างพระเจดีย์
ขณะนั้นก้อนอิฐทองคำที่จักสร้างพระเจดีย์แถวหนึ่งเกิดขาดอิฐไปแผ่นหนึ่ง นางจึงได้เดินเข้าไปพูดกับช่างว่า ท่านจงนำอิฐก้อนนี้ไปวางลงตรงจุดที่ขาดเถิด
นายช่างกล่าวว่า นางผู้เจริญ ท่านมาได้เวลาพอดี ขอท่านนำอิฐทองคำของท่านไปจงวางเองเถิด
นางจึงขึ้นไปเอาน้ำมันจันทร์ผสมกับหรดาลและมโนสิลา ทาลงบยอิฐเพื่อเชื่อมให้อิฐต่อกันสนิทอยู่ได้ด้วยเครื่องยึดนั้น แล้วบูชาด้วยดอกอุบล ๘ กำมือไว้ข้างอิฐทองนั้น นางยกมือไหว้แล้วตั้งความปรารถนาว่า ในที่เราเกิด ขอจงมีกลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากร่างกาย กลิ่นอุบลจงฟุ้งออกจากปาก แล้วไหว้พระเจดีย์ ทำประทักษิณรอบพระเจดีย์ ๓ รอบแล้วกลับไปยังเรือนของนาง
ในเวลาต่อมา เศรษฐีผู้เป็นอดีตพ่อสามีเกิดระลึกถึงอดีตลูกสะใภ้ที่เขานำมาที่เรือนครั้งแรก ซึ่งเป็นผู้มีชาติตระกูลและทรัพย์อันเสมอกับตระกูลของตน
ขณะเดียวกันในพระนครเวลานั้นมีงานนักขัตฤกษ์ เฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริกเสียงกึกก้อง เขาจึงพูดกับคนรับใช้ว่า คราวนั้น พวกเจ้านำธิดาเศรษฐีมายังเรือนนี้ นางนั้นเวลานี้อยู่ที่ไหน นางได้แต่งงานไปแล้วหรือยัง
คนรับใช้กล่าวว่า นางอยู่ที่เรือนตระกูลของนางขอรับ นายท่าน
เศรษฐีบุตรกล่าวว่า พวกเจ้าจงไปพานางมา เราจักพานางไปเที่ยวงานนักขัตฤกษ์
พวกคนรับใช้ของบุตรเศรษฐีจึงไปยังเรือนตระกูลของนาง ไปไหว้นางแล้วยืนอยู่ นางจึงถามว่า
ท่านทั้งหลายมาทำไมกัน พวกคนรับใช้ของบุตรเศรษฐีจึงบอกเรื่องราวที่มานั้นให้นางได้ทราบ
นางกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย เราเอาเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ หล่อเป็นอิฐไปบูชาพระเจดีย์เสียแล้ว เราไม่มีเครื่องประดับตกแต่งกายแล้ว หากเราไปเที่ยวงานนักขัตฤกษ์ เกรงว่าจักทำให้เศรษฐีและบุตรชายอับอายต่อชนทั้งหลายหละกระมั่ง
คนรับใช้เหล่านั้นจึงไปบอกแก่บุตรเศรษฐี ๆ จึงกล่าวว่า จงนำนางมาเถิด เราจะให้เครื่องประดับนั้นแก่นาง
พวกคนรับใช้จึงไปนำตัวนางมา กลิ่นจันทน์และกลิ่นดอกบัวขาบฟุ้งไปทั่วเรือนร่างของนาง ขณะที่นางเข้าไปในเรือน
บุตรเศรษฐีจึงถามนางว่า ครั้งแรกมีกลิ่นเหม็นฟุ้งออกจากตัวเธอ แต่บัดนี้ กลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากตัว กลิ่นอุบลฟุ้งออกจากปากของเธอ นี่มันเกิดอะไรกัน
ธิดาเศรษฐีจึงเล่าถึงกุศลกรรมที่ตนกระทำมาให้แก่พ่อสามีและสามีได้รับทราบ เศรษฐีและบุตรชายจึงได้บังเกิดความเลื่อมใสว่า
คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นนิยยานิกธรรมหนอ จึงเอาเครื่องประดับที่ปกคลุมร่างกาย และประดับที่ประดับบนผืนผ้ากัมพล ยาวประมาณโยชน์หนึ่งหุ้มพระเจดีย์ทองเป็นพุทธบูชา แล้วเอาดอกประทุมทองขนาดใหญ่เท่าล้อรถประดับที่พระเจดีย์ทองนั้น ดอกประทุมทองที่แขวนห้อยไว้มีขนาด ๑๒ ศอก บุตรเศรษฐีนั้นจึงครองรักครองเรือนกับนางผู้มีกลิ่นกายหอมนั้นอยู่จนสิ้นอายุในมนุษยโลกแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์
ชาดกตอนนี้สอนให้เราท่านทั้งหลายได้รู้ว่า
“ยานิ กโรติ ปุริโส ตานิ อตฺตนิ ปสฺสติ
บุคคลทำกรรมเช่นใด ต้องได้รับผลเช่นนั้น”
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–