ประวัตินางวิสาขาอุบาสิกา (ตอนที่ 9)

0
86

ประวัตินางวิสาขาอุบาสิกา (ตอนที่ ๙)
๖ มกราคม ๒๕๖๗

ตอนที่แล้วจบลงตรงที่ องค์พระบรมศาสดา ทรงแสดงอุโบสถทั้ง ๘ ประการ อันบุคคลเข้าไปอยู่อาศัยแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีการแพร่หลายมาก เมื่อตายไปย่อมเข้าไปเป็นสหายของเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกา จนถึงชั้นปรนิมมิตวสวัตดี

ด้วยเหตุนี้ บุคคลใดเมื่อมีอุโบสถทั้ง ๘ นี้ เป็นเครื่องอยู่อาศัย ย่อมเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีใครจะติเตียนได้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ บุพพารามปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา ใกล้พระนครสาวัตถี

ก็สมัยนั้นแล หลานผู้เป็นที่รักที่พอใจของนางวิสาขามิคารมารดาได้สิ้นชีวิตลง ได้ยินว่า เด็กหญิงนั้นสมบูรณ์ด้วยวัตร เลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา เป็นผู้ไม่ประมาท ได้กระทำการขวนขวายที่ตนจะพึงทำแก่ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายผู้เข้าไปยังบ้านของอุบาสิกา ทั้งเวลาก่อนอาหารและหลังอาหาร ปฏิบัติคล้อยตามใจของยายตน (นางวิสาขา)

ด้วยเหตุนั้น มหาอุบาสิกาชื่อว่าวิสาขา เมื่อออกจากเรือนไปข้างนอก ได้มอบหน้าที่ทั้งหมดแก่เด็กหญิงนั้นให้เป็นผู้ดูแลกิจการของบ้านเรือน แล้วจึงไป อีกทั้งเธอก็มีรูปร่างน่าชมน่าเลื่อมใส ดังนั้น เธอจึงเป็นที่รักที่ชอบใจโดยพิเศษของวิสาขามหาอุบาสิกา แต่เธอต้องมาถูกโรคครอบงำจึงถึงแก่กรรม.

ลำดับนั้น มหาอุบาสิกาเมื่อไม่อาจจะอดกลั้นความโศก เหตุเพราะการตายของหลานได้ จึงเป็นทุกข์เสียใจ ให้คนเอาศพไปเก็บไว้แล้ว

ครั้งนั้น นางวิสาขามิคารมารดามีผ้าเปียก ผมเปียกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับในเวลาเที่ยง ด้วยคิดว่า ไฉนหนอในเวลาที่เราไปเฝ้าพระศาสดาจะพึงได้ความยินดีแห่งจิต

ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสกะนางวิสาขามิคารมารดาว่า เชิญเถิดอุบาสิกา ท่านไปไหนมาจึงได้มีผ้าเปียก มีผมเปียก เข้ามาเฝ้าตถาคตในเวลาเที่ยงเช่นนี้เล่า

นางวิสาขามหาอุบาสิกาจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หลานของหม่อมฉัน เป็นที่รักที่พอใจ ได้ทำกาละเสียแล้ว เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึงมีผ้าเปียกมีผมเปียก เข้ามา ณ ที่นี้ในเวลาเที่ยง เพื่อให้สดับพระธรรมเทศนาให้คลายจากความทุกข์โศก เจ้าค่ะ ฯ

องค์พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงทราบว่า นางวิสาขายินดียิ่งในวัฏฏะ เพื่อจะทรงทำความเศร้าโศกของเธอให้เบาบางลงด้วยอุบายอันแยบคาย จึงทรงตรัสว่า

ดูกรอุบาสิกา ท่านปรารถนาบุตรและหลานให้มีจำนวนเท่ากับมนุษย์ในพระนครสาวัตถีนี้หรือ ฯ

วิสาขา : ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ หม่อมฉันปรารถนาบุตรและหลานเท่ามนุษย์ในพระนครสาวัตถี เจ้าค่ะ ฯ

พระผู้มีพระภาค : ดูกรอุบาสิกา มนุษย์ในพระนครสาวัตถีมากเพียงไร ที่ตายลงทุกวันๆ

วิสาขา : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มนุษย์ในพระนครสาวัตถี ๑๐ คนบ้าง ๙ คนบ้าง ๘ คนบ้าง ๗ คนบ้าง ๖ คนบ้าง ๕ คนบ้าง ๔ คนบ้าง ๓ คนบ้าง ๒ คนบ้าง๑ คนบ้าง ตายลงทุกวันๆ พระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาค : ดูกรอุบาสิกา ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อท่านสำคัญว่า มนุษย์ในพระนครสาวัตถี เป็นดังบุตรหลานของท่าน แล้วเมื่อพวกเขาตายลง ทำไมท่านจึงไม่เป็นผู้มีผ้าเปียกหรือมีผมเปียกเป็นดังที่ท่านเป็นอยู่ในขณะนี้เล่า

อุบาสิกาได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงเกิดความสังเวช ปฏิเสธว่า

วิสาขา : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าค่ะ ที่ชาวพระนครต้องมาล้มตายอยู่ทุกวัน แต่หม่อมฉันมิได้มีผมและผ้าอันเปียก ก็เพราะพวกเขาเหล่านั้นมิได้เป็นที่รักและที่ผูกพันของข้าพระพุทธเจ้า เจ้าค่ะ

พระผู้มีพระภาค : ดูกรนางวิสาขา ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๑๐๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑๐๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๙๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๙๐ …. ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๑ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑ ผู้ใดไม่มีสิ่งที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีทุกข์

เรากล่าวว่า ผู้นั้นไม่มีความโศก ปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่มีอุปายาส ฯ

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

ความโศกก็ดี ความร่ำไรก็ดี ความทุกข์ก็ดี

มากมายหลายอย่างนี้ มีอยู่ในโลก

เพราะอาศัยสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก

เมื่อไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก

ความโศก ความร่ำไรและความทุกข์เหล่านี้ย่อมไม่มี

เพราะเหตุนั้นแล ผู้ใดไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักในโลกไหนๆ

ผู้นั้นเป็นผู้มีความสุข ปราศจากความโศก

เพราะเหตุนั้น ผู้ปรารถนาความไม่โศก อันปราศจากกิเลสดุจธุลี

ไม่พึงทำสัตว์หรือสังขารให้เป็นที่รัก ในโลกไหนๆ

พระพุทธธรรมคำสอนที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนนางวิสาขาในเรื่องทรงยืนยันว่า ความทุกข์ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ล้วนมีอยู่คู่โลกมาแต่เดิม มิใช่ของใหม่ เมื่อใดที่เราเอาจิตนี้ไปยึดถือผูกพันอยู่กับใคร อะไร สิ่งใดๆ เมื่อนั้นความทุกข์ โศก ร่ำไรรำพัน ย่อมต้องเกิดขึ้น

เจริญธรรม

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid0XNWtPeidYJgyRGsYfiigktC7pqy8Ab2uwHZSCgkCxPhmEUkxFLiwHx2TfWUd4vNQl