ประวัตินางวิสาขาอุบาสิกา (ตอนที่ 7)

0
41

ประวัตินางวิสาขาอุบาสิกา (ตอนที่ ๗)
๕ มกราคม ๒๕๖๗

ตอนที่แล้วจบลงตรงที่มิคารเศรษฐีย่อมศิโรราบต่อนางวิสาขาลูกสะใภ้ แล้วให้คำมั่นว่า จะยินยอมให้นางได้กระทำการใดๆ อย่างอิสระทุกอย่างหากนางยินยอมที่จะอยู่เป็นลูกสะใภ้ของมิคารเศรษฐีต่อไป

วันต่อมานางวิสาขา ให้คนไปทูลนิมนต์พระทศพล แล้วเชิญเสด็จให้เข้าไปสู่นิเวศน์ในวันรุ่งขึ้น ฝ่ายพวกสมณะเปลือย เมื่อรู้ว่าพระศาสดาเสด็จไปยังเรือนของมิคารเศรษฐี จึงไปนั่งล้อมเรือนไว้
ฝ่ายนางวิสาขาเมื่อถวายน้ำทักษิโณทกแล้วก็ส่งข่าวไปยังมิคารเศรษฐีว่า

“ดิฉันตกแต่งเครื่องสักการะทั้งปวงไว้แล้ว เชิญพ่อผัวของดิฉันมาอังคาสพระทศพลเถิด.”

ครั้งนั้น พวกอาชีวกที่มานั่งล้อมเรือนของเศรษฐีได้พากันกล่าวห้ามมิคารเศรษฐีผู้อยากจะไปร่วมงานถวายภัตตาหารว่า

“คฤหบดี ท่านอย่าไปสู่สำนักของพระสมณโคดมเลย.”

เศรษฐี เมื่อเห็นพวกพระะเป็นเจ้าของตนพากันมาห้อมล้อม ห้ามปรามตนอยู่เช่นนั้น จึงส่งข่าวไปว่า “สะใภ้ของฉัน จงอังคาสเองเถิด.”

นางวิสาขาจึงอังคาสภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว ได้ส่งข่าวไปอีกว่า
“เชิญพ่อผัวของดิฉัน มาฟังธรรมกถาเถิด.”

เศรษฐีนั้นคิดว่า การไม่ไปคราวนี้ ไม่สมควรอย่างยิ่ง และเพราะความที่ตนอยากฟังธรรมด้วย จึงมิอาจหักห้ามใจได้ ออกเดินทางไปยังเรือนของสะใภ้

ครานั้น พวกอาชีวกเห็นว่าห้ามมิคารเศรษฐีไว้ไม่ได้แล้ว จึงกล่าวกะเศรษฐีที่กำลังจะออกเดินทางว่า

“ถ้ากระนั้น ท่านเมื่อฟังธรรมของพระสมณโคดม จงนั่งฟังอยู่แต่ภายนอกม่าน” ดังนี้ แล้วจึงรีบล่วงหน้าไปก่อนเศรษฐีนั้น แล้วก็ไปจัดแจงกั้นม่านไว้เพื่อให้เศรษฐีนั้นนั่งภายนอกม่านที่ตนกั้นไว้นั้น เศรษฐีเมื่อไปถึงก็นั่งอยู่ภายนอกม่าน.

พระศาสดาทรงทราบเรื่องราวของมิคารเศรษฐีหมดทุกอย่าง จึงทรงตรัสว่า “ท่านจะนั่งนอกม่านก็ตาม ที่ฝาเรือนคนอื่นก็ตาม ฟากภูเขาหินโน้นก็ตาม ฟากจักรวาลโน้นก็ตาม เราชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้า ย่อมอาจจะให้ท่านได้ยินเสียงของเราได้” ดังนี้แล้ว ทรงเริ่มอนุปุพพีกถาเพื่อแสดงธรรม ดุจจับต้นหว้าใหญ่สั่น และดุจดังฝนคืออมตธรรมให้ตกอยู่.

ก็เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมอยู่ ชนผู้ยื่นอยู่ข้างหน้าก็ตาม ข้างหลังก็ตาม อยู่เลยร้อยจักรวาล พันจักรวาลก็ตาม อยู่ในภพอกนิษฐ์ก็ตาม ย่อมกล่าวกันว่า “พระศาสดา ย่อมทอดพระเนตรดูเราคนเดียว ทรงแสดงธรรมโปรดเราคนเดียว ” แท้จริง พระศาสดาเป็นดุจทอดพระเนตรดูชนนั้น ๆ และเป็นดุจตรัสกับคนนั้น ๆ .โดยเจาะจง

นัยว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย อุปมาดังพระจันทร์ ย่อมปรากฏเหมือนประทับยืนอยู่ตรงหน้าแห่งสัตว์ทั้งหลาย ผู้ยืนอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเหมือนพระจันทร์ลอยอยู่แล้วในกลางหาว ย่อมปรากฏแก่ปวงสัตว์ว่า“พระจันทร์อยู่บนศีรษะของเรา พระจันทร์อยู่บนศีรษะของเรา” ฉะนั้น.ได้ยินว่า นี้เป็นผลแห่งทานที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงตัดพระเศียรที่ประดับแล้ว ทรงควักพระเนตรที่หยอดดีแล้ว ทรงชำแหละเนื้อหทัยแล้วทรงบริจาคโอรสเช่นกับพระชาลี ธิดาเช่นกับนางกัณหาชินา ปชาบดีเช่นกับนางมัทรี ให้แล้ว เพื่อเป็นทาสของผู้อื่น.

ฝ่ายมิคารเศรษฐี เมื่อได้สดับพระธรรมเทศนา อนุปุพพิกถา ที่พระตถาคตทรงเปลี่ยนแปลงยักย้ายธรรมเทศนาอยู่ นั่งอยู่ภายนอกม่านนั่นเอง ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล อันประดับด้วยพันนัย ประกอบด้วยอจลศรัทธาเป็นผู้หมดสงสัยในรัตนะ ๓ ยกชายม่านขึ้น แล้วตั้งนางวิสาขาลูกสะใภ้ไว้ในตำแหน่งมารดาโดยการกล่าวว่า

“เจ้าจงเป็นมารดาของฉัน ตั้งแต่วันนี้ไป.”

จำเดิมแต่วันนั้น นางวิสาขาได้ชื่อว่ามิคารมารดาแล้ว ภายหลังได้บุตรชาย จึงได้ตั้งชื่อบุตรนั้นว่า “มิคาระ.”

มหาเศรษฐีหลังจากประกาศยกย่องสะใภ้แล้วก็ไปหมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า นวดเฟ้นพระบาทด้วยมือ และจุมพิตด้วยปากและประกาศชื่อ ๓ ครั้งว่า

“ข้าพระองค์ชื่อมิคาระ พระเจ้าข้า” ดังนี้เป็นต้นแล้ว กราบทูลว่า

“พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่ทราบ ตลอดกาลเพียงเท่านี้ ท่านที่บุคคลให้แล้วในศาสนานี้ มีผลมาก ข้าพระองค์ทราบผลแห่งทานในบัดนี้ ก็เพราะอาศัยหญิงสะใภ้ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นผู้พ้นแล้วจากอบายทุกข์ทั้งปวง เมื่อหญิงสะใภ้ของข้าพระองค์มาสู่เรือนี้ ก็มาแล้วเพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ข้าพระองค์” ดังนี้แล้ว ได้กล่าวคาถานี้ว่า :-

“ข้าพระองค์นั้น ย่อมรู้ทั่วถึงทานที่บุคคลให้แล้ว ในเขตที่บุคคลให้แล้วมีผลมากในวันนี้ สะใภ้คนดีของข้าพระองค์มาสู่เรือน เพื่อประโยชน์แก่ข้าพระองค์จริงแท้หนอ.”

นางวิสาขา ทูลนิมนต์พระศาสดาเพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น.และในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง แม่ผัวของนางก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลไปอีกคนหนึ่ง

จำเดิมแต่กาลนั้น เรือนหลังนั้น ได้เปิดประตูต้อนรับเหล่าภิกษุสงฆ์สาวกแห่งองค์พระบรมศาสดาทั้งวันทั้งคืน

ลำดับนั้น เศรษฐีคิดว่า “สะใภ้ของเรามีอุปการะแก่ครอบครัวเรามาก เราจักทำบรรณาการให้แก่นาง เพราะเครื่องประดับของสะใภ้นั้นหนัก ไม่อาจเพื่อประดับตลอดกาลเป็นนิตย์ได้ เราจักให้ช่างทำเครื่องประดับอย่างเบา ๆ แก่นาง ควรแก่การประดับในทุกอิริยาบถ ทั้งในกลางวันและกลางคืน” ดังนี้แล้ว จึงให้ช่างทำเครื่องประดับชื่อฆนมัฏฐกะอันมีราคาแสนหนึ่ง เมื่อเครื่องประดับนั้นเสร็จแล้ว นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขให้ฉัน โดยความเคารพแล้ว ให้นางวิสาขาอาบน้ำด้วยหม้อน้ำหอม ๑๖ หม้อ ให้ยืนถวายบังคมพระศาสดา ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระศาสดาแล้ว พระศาสดาทรงทำอนุโมทนาแล้ว เสด็จไปสู่วิหารตามเดิม.

เช่นนี้ถือว่า ครอบครัวของมิคารเศรษฐีได้ลูกสะใภ้เป็นบัณฑิต จึงนำพาให้ได้มรรคผลอันประเสริฐ โดยแท้

เจริญธรรม

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid02AP3F7P7d89sqCnicvEL1mMAcgfMEY72qRa9zZibV5JSHLmmvqy8dHQUzbMpXBDPzl