วันเทโวโรหณะ คือวันมหาสัมมาทิฐิ

0
24

วันเทโวโรหณะ คือวันมหาสัมมาทิฐิ
๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๖

วันออกพรรษาปีนี้ ตรงกับวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑

ถือว่าเป็นวันมหาปวารณาของภิกษุสงฆ์ทั่วโลก

เป็นพุทธบัญญัติ เมื่อภิกษุสงฆ์จำพรรษาร่วมกันจนครบ ๓ เดือน พอถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันออกพรรษา เป็นวันปวารณา

พระบรมศาสดาทรงบัญญัติให้ภิกษุสงฆ์ร่วมกันลงทำสังฆกรรม หรือร่วมกันประชุม เพื่อทำการปวารณาซึ่งกันและกันในวันออกพรรษา โดยกล่าวว่า

สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัสมันโต อะนุกัมปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปฏิกกะริสสามิฯ

“ข้าพเจ้าขอปวาราณาต่อท่านและหมู่สงฆ์ ถ้าได้เห็นก็ตาม ถ้าได้ยินก็ตาม หรือระแวงสงสัยก็ตาม ขอท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงเมตตาว่ากล่าวตักเตือนแก่ข้าพเจ้า ด้วยจิตที่หวังดีเอ็นดู ให้ข้าพเจ้ารู้สึกตัว จักได้เปลี่ยนแปลงนิสัย แก้ไขพฤติกรรมในโอกาสต่อไป”

ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ใจความในการปวารณา เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้มิใช่อิจฉา

การปวารณานี้ต้องกระทำเฉพาะผู้มีศีลทั้ง ๒ ฝ่าย จึงจะสำเร็จประโยชน์

ที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพุทธประสงค์ให้ภิกษุสงฆ์ทำการปวารณาซึ่งกันและกันหลังจากจำพรรษาแล้ว

ด้วยเพราะในครั้งพุทธกาลหลังจากออกพรรษาแล้ว บรรดาภิกษุสงฆ์ต่างพากันออกเดินทางไปสู่คามนิคมชนบท และหัวเมืองต่างๆ

ซึ่งภิกษุแต่ละรูปอาจจะเผลอสติ ทำ พูด คิด ในสิ่งที่ผิดพลาด เป็นเหตุให้พรหมจรรย์ด่างพร้อยเสียหายในขณะที่ออกจาริกเดินทาง การปวารณาจึงเป็นการให้โอกาสแก่ผู้ที่เห็นโทษว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกัน ทั้งยังแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน ยอมรับฟังคำตักเตือนนั้นๆ ด้วยการใฝ่เรียนใฝ่รู้ และพัฒนาตนเองอยู่เนืองๆ พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัยแก้ไขพฤติกรรมให้ซื่อตรงต่อหลักพระธรรมวินัย

หลังจากออกพรรษา ปวารณา รุ่งขึ้นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นวันเทโวโรหณะ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “วันตักบาตรเทโว” หรือตักบาตรเทวดา อาจจะมาจากเหตุที่พระอินทร์ท่านเป็นผู้ถือบาตรขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้าเดินนำหน้ามา ชาวบ้านจึงเรียกว่าตักบาตรเทวดา ซึ่งคำว่า “เทโว” ย่อมาจาก “เทโวโรหณะ” แปลว่า การเสด็จลงจากเทวโลกด้วยบันไดโลหะ

หมายถึงวันที่องค์พระบรมศาสดาทรงเสด็จลงมาจากดาวดึงส์เทวโลก หลังจากที่ทรงเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนดาวดึงส์เทวโลกเพื่อทรงแสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดา

เมื่อออกพรรษาแล้วจึงเสด็จลงสู่โลกมนุษย์โดยการอาราธนาของพระโมคคัลลานะมหาเถระ ซึ่งตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ณ ประตูเมืองสังกัสสนครทางทิศเหนือ

พอถึงเวลาที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าจักเสด็จ

องค์อินทราธิราชจึงได้สำแดงฤทธิ์ เนรมิตบันไดขึ้น ๓ บันได คือบันไดแก้ว บันไดทอง บันไดเงิน เชื่อมต่อระหว่างดาวดึงส์สวรรค์กับโลกมนุษย์

องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสด็จลงทางบันไดแก้วมณี

หมู่เทพเทวาลงทางด้านพระปรางข้างขวาขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้า คือบันไดทอง
เหล่าท้าวมหาพรหมเสด็จลงบันไดเงิน ทางด้านซ้ายพระปรางของพระผู้มีพระภาคเจ้า
หัวบันไดทั้ง ๓ เริ่มต้นที่ยอดเขาพระสุเมรุ ตีนบันไดทอดลงสู่มนุษย์โลก ณ ประตูเมืองสังกัสสนคร

มีหมู่ทวยเทพ พรหม มาร มาประชุมพร้อมกัน ณ ยอดเขาพระสุเมรุเพื่อน้อมส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

องค์ท้าวมหาพรหมรับอาสาทำหน้าที่กางกั้นนวรัตน์ฉัตรแก้ว

องค์อินทราธิราชตรงเข้าไปทรงรับบาตรจากพระหัตถ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า

บรรดาหมู่อมรเทพปัญจสิงขรและคนธรรพ์ผู้รอบรู้ทิพยดนตรีต่างพากันบรรเลงพิณสายเพลงดนตรีของชาวสวรรค์

เทพมาตุลีและหมู่บรรดาเทพอัปสรถือพานดอกมณฑาโปรยปรายถวายรองพระบาทดำเนินเสด็จ
องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ทรงเปิดโลกธาตุทั้ง ๓ ให้ปรากฏแก่สายตาและโสตประสาทหูของสรรพสัตว์ทั้งสามโลก

ทำให้เทวดาได้มองเห็นและได้ยินมนุษย์ สัตว์ดิรัจฉาน สัตว์นรก

มนุษย์และสัตว์ดิรัจฉานก็ได้มองเห็นเทพเทวา พรหม มาร และสัตว์นรก

บรรดาสัตว์นรกทุกขุมก็ได้มองเห็นเทวดา พรหม มาร อันมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน
ในเวลานั้นหมู่บรรดาพระอรหันต์อสีติมหาสาวกก็ได้มาประชุมพร้อมกัน ณ ประตูเมืองสังกัสสนครกันมากมายมหาศาลสุดจะคณานับ ท่านว่าเอาไว้ว่า บุรุษผู้มีกำลังใช้หางขนนกยูงหนึ่งกำมือจุ่มลงไปในหม้อน้ำมันแล้วสลัดสาดออกไปในอากาศ ละอองน้ำมันนั้นก็มิอาจตกต้องถึงพื้นดินได้ นี่คือการแสดงความแออัดของมหาชน

เมื่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปิดโลกทั้งสามให้สรรพสัตว์ทั้ง ๓ โลกได้แลเห็นกันอย่างชัดเจน ทั้งยังได้ยินเสียงสนทนากันและกันได้ด้วย

บรรดาภิกษุแลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายผู้เป็นปุถุชน เมื่อได้เห็นพระพุทธานุภาพที่มีเหนือ มนุษย์ เทพ พรหม มาร และสรรพสัตว์ทั้งปวง บรรดาภิกษุและมนุษย์ เทพ พรหม มาร และสรรพสัตว์เหล่านั้นจึงตั้งมหาปณิธานว่า จักต้องการได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล
หมู่เทวดา พรหม มาร มนุษย์ และสรรพสัตว์บางจำพวก ครั้นได้เห็นพระอรหันตขีณาสพผู้มากไปด้วยสังฆานุภาพ เป็นที่เคารพยอมรับของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ต่างพากันตั้งมหาปณิธาน สัจอธิษฐาน ว่าต้องการเป็นพระอรหันตสาวกในภพภูมิต่อไป

บรรดาสัตว์นรกและสัตว์ดิรัจฉาน เมื่อได้แลเห็นพระฉัพพรรณรังสีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทุกขเวทนาที่ตนได้รับต่างพากันระงับไปชั่วขณะ พร้อมมีจิตคิดถึงพุทธานุภาพ ตั้งสัจอธิฐานให้ตนได้เป็นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกในภพชาติต่อๆ ไป

มนุษย์และสัตว์ผู้ได้รับทุพภิกขภัย เมื่อได้เห็นพุทธานุภาพต่างพากันพ้นจากทุกข์พิษภัยนั้นๆ กันทั่วหน้า

แม้เหล่าบรรดาพวกทุจริตชนโจรร้าย ได้พยายามแฝงตัวปะปนเข้ามากับฝูงชนเพื่อจะฉกชิงวิ่งราว พอได้เห็นสัตว์นรกผู้ได้รับทุกขเวทนาจากกรรมอันมีกาย วาจา ใจ ที่ทุจริต ต่างพากันเกรงกลัวว่าตัวจะต้องได้รับทุกข์ดังสัตว์นรกนั้น จึงพากันตั้งสัจอธิษฐานขอเลิกอาชีพทุจริตทั้งปวง แสดงตนเป็นพุทธมามกะ หรือมีศรัทธาปราถนาขอบรรพชาบวชในพระธรรมวินัยกันมากมาย

รวมความว่า วันออกพรรษาคณะสงฆ์ต้องทำกิจสำคัญคือการปวารณา

รุ่งขึ้นแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นวันที่ชาวพุทธจะต้องเดินทางไปวัด ตักบาตร รักษาศีล ฟังธรรม เจริญภาวนา

เหล่านี้คือหน้าที่ของพุทธบริษัทที่ดีพึงกระทำ

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid0378ihMRHSRjjimavXRwNLTDzNfQc5HMgJkN9aNwVhtEdSs9FJAYpyARTTDnUJnhDAl