สามเณรโสปากะ ผู้บรรลุอรหันต์ในป่าช้า (ตอนที่ 1)

0
47

สามเณรโสปากะ ผู้บรรลุอรหันต์ในป่าช้า (ตอนที่ 1)
๙ ตุลาคม ๒๕๖๖

**********************************

ท่านเกิดและเติบโตในป่าช้าในเมืองราชคฤห์ จึงได้ชื่อ โสปากะ “บางคัมภีร์กล่าวว่า ท่านเกิดในตระกูลพ่อค้า ส่วนคำว่าโสปากะ เป็นแต่เพียงชื่อ คำนั้นผิดจากบาลีในอุทาน เพราะกล่าวไว้ว่า เมื่อถึงภพสุดท้าย เราเกิดในกำเนิดโสปากะ ดังนี้”

เมื่อเกิดได้ 4 เดือนบิดาท่านได้สิ้นชีวิตลง ผู้เป็นอาจึงเลี้ยงไว้ ต่อมาเมื่อเจริญวัยได้ 7 ขวบ กุมารโสปากะ ได้มีเรื่องกับบุตรของอาตน ผู้เป็นอาจึงโกรธที่ไป ทะเลาะกับลูกของตน จึงนำตัวไปยังป่าช้า แล้วใช้เชือกผูกมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนาติดกับร่างของคนตาย แล้วจึงจากไปหวังจะให้สุนัขจิ้งจอกกินเป็นอาหาร ด้วยบุญบารมีของท่านที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ สัตว์ร้ายจึงไม่อาจทำอันตรายแก่ท่านได้

ในราตรีนั้น “พระศาสดาทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอรหันต์ ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์อันโพลงอยู่ภายในหทัยของเด็ก จึงทรงแผ่พระฉัพพรรณรังสีโอภาส เมื่อแสงสว่างอันรุ่งเรืองจนทำให้เกิดสติแล้วตรัสอย่างนี้ว่ามาเถิดโสปากะ อย่ากลัว จงแลดูตถาคต เราจะยังเธอให้ข้ามพ้นไป ดุจพระจันทร์พ้นจากปากราหูฉะนั้น.

ทารกโสปากะ จึงใช้ปากกัดเครื่องผูกให้ขาดด้วยพุทธานุภาพ ในเวลาจบคาถา ได้เป็นพระโสดาบัน ได้ยืนอยู่ตรงหน้าพระคันธกุฎี”

เวลาต่อมามารดาของท่านเมื่อไม่เห็นบุตร จึงเข้าไปไต่ถามเอาจากผู้เป็นอา แต่อาไม่ยอมตอบจึงไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาค ด้วยเข้าใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญูทรงรู้อดีต อนาคต และปัจจุบัน ถ้ากระไรเราเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามความเป็นไปแห่งบุตรของเรา จึงได้ไปยังสำนักของพระศาสดา

ครั้นแล้วเมื่อมารดาได้พบสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงได้แสดงธรรมจนนางสำเร็จพระโสดาบัน ส่วนท่านโสปากะกุมาร ได้เฝ้าอยู่ในที่นั้นด้วย จึงได้สดับพระธรรมนั้นจน ได้สำเร็จพระอรหันต์ ครั้งนั้น ” ฝ่ายมารดาจึงได้มองเห็นบุตรชายของตน นางจึงแสดงความดีใจ ยิ่งพอได้ฟังว่าบุตรนั้นเป็นพระขีณาสพ จึงให้บวชแล้วนางก็หลีกไป”

**********************************
บางตำนานกล่าวว่า

โสปากะสามเณรเมื่อแรกเริ่ม ท่านได้มาอุบัติปฏิสนธิในครรภ์ของสตรีทุคคตเข็ญใจคนหนึ่ง ในนครสาวัตถี ด้วยผลของกรรมที่ได้กระทำไว้ในกาลปางก่อนติดตามมาทันอำนวยผล มารดาของทารกเมื่อมีครรภ์ครบสิบเดือนแล้ว เหตุเพราะไม่ได้บำรุงถนอมครรภ์ไว้ให้ดี เมื่อวันจะคลอดบุตรก็ไม่อาจจะคลอดได้ สตรีนั้นก็สลบไป

บรรดาญาติของสตรีนั้นสำคัญว่าสตรีนั้นตายแล้ว จึงนำไปยังป่าช้า ยกขึ้นวางบนเชิงตะกอน จุดเพลิงแล้วหลีกไป ด้วยบุญบารมีของเด็กที่อยู่ในครรภ์ ที่เคยสั่งสมมาในอดีตชาติจึงเกิดมีฝนห่าใหญ่ตกลงมา ไฟนั้นจึงมิได้เผาผลาญเด็กทารก จนเนื้อท้องได้แตกออกจากครรภ์ เด็กนั้นก็หาได้เป็นอันตรายใดๆ ไม่

โสปากะท่านจึงเป็นเด็กกำพร้า เวลาต่อมาผู้เฝ้าป่าช้าได้มาพบเด็กนั้น จึงได้นำทารกนั้นไปเลี้ยง ท่านจึงถูกตั้งนามว่า “โสปากะ” แปลว่า “ผู้เกิดในป่าช้า”

เมื่อเจริญวัยขึ้นมีอายุได้ ๗ ขวบ โสปากะเด็กน้อยมีเรื่องทะเลาะกับลูกของผู้เฝ้าป่าช้า อันว่าลูกเลี้ยงทำอย่างไรก็เป็นผิดเสมอ จึงถูกพ่อเลี้ยงจับไปผูกทิ้งไว้ให้อยู่กับศพในป่าช้า ด้วยท่านยังเด็ก พอฟ้าเริ่มมืดลงจึงได้ส่งเสียงร้องไห้จนดังลั่นป่า

ชื่อว่าป่าช้าผีดิบ นอกจากซากศพแล้วก็ยังมีสัตว์ร้ายที่คอยมากินซากศพ เช่น ฝูงแร้ง นกกา และสุนัขจิ้งจอก เสียงร้องของเด็กน้อยโสปากะนั้น ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นเรียกให้สุนัขจิ้งจอกนั้นเข้ามาหา ด้วยบุญบารมีของท่านที่จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ สัตว์ร้ายจึงไม่อาจทำอันตรายแก่ท่านได้

ในราตรีนั้น “พระศาสดาทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอรหันต์ ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตอันโพลงอยู่ในภายในหทัยของเด็ก จึงทรงแผ่พระฉัพพรรณรังสีโอภาส สว่างรุ่งเรือง ทำให้เด็กนั้นเกิดสติแล้วทรงตรัสว่า

มาเถิดโสปากะ อย่ากลัว จงแลดูตถาคต เราจะยังเธอให้ข้ามพ้นไป ดุจพระจันทร์พ้นจากปากราหูฉะนั้น.

เด็กน้อยตัดเครื่องผูกให้ขาดด้วยพุทธานุภาพ ในเวลาจบคาถา ได้เป็นพระโสดาบัน ได้ยืนอยู่ตรงหน้าพระคันธกุฎี”

ทันทีที่เห็นพระบรมศาสดา เด็กน้อยเกิดจิตเลื่อมใส ปรารถนาที่จะบรรพชา เด็กน้อยคงประทับใจที่มีคนมาช่วยชีวิต จึงอยากติดตามผู้ที่มีจิตเมตตา ใครอยากจะมีชีวิตอยู่กับผู้ดุร้าย แม้เป็นเด็กน้อยก็เถอะ

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นเหตุในอดีต โสปากะนี้เป็นเด็กกำพร้าแต่มีพ่อเลี้ยงอยู่ จึงพาเด็กน้อยไปขออนุญาต

เมื่อโสปากะได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองแล้วจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร

ต่อมาทรงแสดงธรรมเกี่ยวกับอนิจจสัญญา ทำให้เด็กน้อยซาบซึ้งและแทงตลอดในเรื่องความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอยู่จริง

พระผู้มีพระภาคทรงประทานการบวชให้ หลังจากบรรพชาก็บำเพ็ญสมณธรรม จนสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในป่าช้านั่นเอง

โปรดติดตามตอนต่อไป

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid0wNnUzUiNQy2JZGb4NKTFGrp2KQCkX825jfQNyYG9vRsTpT6rnrQXvYrendwFdPqDl