สรภังคชาดก (ตอนที่ ๕)
๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๕
ความเดิมตอนที่แล้ว
จบลงตรงที่พระราชาพรหมทัตทรงมีรับสั่งให้โชติปาลกุมารโพธิสัตว์ หลังจากได้แสดงสรรพวิทยาวิชาการธนู จนเป็นที่ตื่นตาตื่นใจแก่ผู้พบเห็น ทั้งมหาชนคนที่มาร่วมรับชมยังได้บังเกิดจิตเชื่อมั่น ศรัทธา รักเอ็นดู แก่โชติปาลกุมารเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดถอดสร้อย ถอดแหวน เงินทอง เครื่องประดับ โยนมอบให้แก่โชติปาลกุมาร มีมูลค่าถึง ๑๘ โกฎิ แม้แต่องค์มหาราชาก็ทรงพระราชทานทรัพย์ให้ถึง ๑ แสนกหาปนะ แล้วยังทรงรับสั่งว่า วันรุ่งพรุ่งนี้ให้ปุโรหิตอาจารย์ นำตัวโชติปาลกุมารไปเข้าเฝ้า เพื่อรับการแต่งตั้งให้เป็นมหาเสนาบดี
ฝ่ายโชติปาลกุมารจึงคิดว่า เราแสดงวิชาความรู้ให้เป็นที่ปรากฏ ก็มิได้มุ่งหวังว่าจะต้องการรับทรัพย์สมบัติใดๆ ไม่ แก้วแหวนเงินทอง สมบัติเหล่านี้เรามิได้ปรารถนา
โชติปาลกุมารจึงได้กล่าวกับมหาชนไปว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทรัพย์สมบัติใดๆ จากการแสดงวิชาธนูครั้งนี้เลย
ข้าพเจ้าขอความกรุณาท่านผู้เจริญทั้งหลาย โปรดจงรับเอาทรัพย์สินของพวกท่านคืนไปเถิด
แล้วกราบทูลลาองค์ราชาพรหมทัต กลับไปยังเรือนของตน เพื่อเตรียมตัวโกนหนวด ตัดผมให้เรียบร้อย เพื่อวันรุ่งพรุ่งนี้จักได้ตามบิดาไปเข้าเฝ้าองค์ราชาพรหมทัต
ค่ำคืนวันนั้นในยามสามจนถึงปัจฉิมยาม โชติปาลกุมารโพธิสัตว์ ได้ลุกขึ้นจากที่นอน นั่งขัดสมาธิเจริญมหาสติพิจารณากายสังขาร และสรรพวิทยาวิชาการที่ตนได้ร่ำเรียนมา แล้วตรึกอยู่ในใจว่า
วิชาธนูทั้ง ๑๒ แขนงนี้เป็นที่อันตรายยิ่งนักแก่มนุษย์และสัตว์ หากไม่มีสติยั้งคิด อาจจักยังความวินาศฉิบหาย ให้แก่หมู่มนุษย์และสัตว์ ได้เป็นจำนวนมาก แม้วิชาเหล่านี้จักยังให้บังเกิดลาภสักการะมหาศาลก็ตามที
หากสุดท้ายผลที่ได้ก็คือ ทุคติภพ แม้ที่สุดลาภยศที่องค์ราชาจะประทานให้ สิ่งที่ตามมาก็คือภาระที่ต้องเลี้ยงดูภรรยาและบุตรธิดา ล้วนเป็นที่มาของทุคติภพ ทั้งโลกนี้และโลกหน้าทั้งนั้น
อีกทั้งลาภยศ สรรเสริญ สุข อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ ล้วนเป็นดุจดังสนิมชุบที่ยากจะละเสียได้
หากวันรุ่งพรุ่งนี้เราตามบิดา เข้าไปรับยศถาบรรดาศักดิ์จากองค์ราชา เราก็คงจะต้องติดกับดักของพญามาร อย่างยากจะหลีกหนีได้
อย่ากระนั้นเลย เราต้องไม่ทำตนให้ตกอยู่ในอำนาจแห่งโลกธรรม ซึ่งเป็นเครื่องผูกของพญามาร
โชติปาลกุมารโพธิสัตว์ เมื่อได้ตรึกเช่นนี้แล้วลุถึงยามสุดท้ายของราตรีนั้น กุมารน้อยจึงได้นุ่งห่มผ้าขาว สะพายย่ามใส่ของใช้เท่าที่จำเป็น แล้วหนีออกไปสู่ป่า เพื่อถือศีลพรหมจรรย์ บวชเป็นฤาษีเพียงผู้เดียว
ฝ่ายท้าวสักกเทวราช เมื่อทิพยอาจแข็งกระด้างดุจดังหินผา จึงทรงส่งทิพยเนตรตรวจดูเหตุลงมาในโลกมนุษย์จึงได้รู้ว่า ยามสุดท้ายแห่งราตรีนี้โชติปาลกุมารโพธิสัตว์จะออกมหาอภิเนษกรมณ์ ณ ป่ามะขวิด ริมฝั่งแม่น้ำโคธาวรี
ท้าวเธอจึงทรงมีบัญชาให้วิสสุกรรมเทพบุตรลงมาเนรมิตอาศรม ให้ตั้งอยู่ในตำบลบ้านกปิฏฐวัน ริมฝั่งแม่น้ำโคธาวรี พร้อมทั้งอัฐบริขารของดาบส ภาชนะใส่น้ำใช้น้ำฉัน ให้พรั่งพร้อม
เมื่อถึงเวลาสุริยะฉายแสง ให้มนุษย์และสัตว์ต่างเห็นกันได้ โชติปาละจึงเดินมาถึงบรรณศาลาที่เทพวิสสุกรรมเนรมิตให้พอดี
โชติปาละ ครั้งได้เข้าไปสำรวจตรวจดูภายในบรรณศาลา เห็นเครื่องใช้ไม้สอยของดาบสตั้งอยู่พรั่งพร้อมทั้งน้ำใช้น้ำฉัน จึงรู้ได้ทันที่ว่า ชะรอยคงเป็นเทพยดามาเนรมิตบรรณศาลานี้ให้แก่เราพร้อมบริขาร
จึงเปลี่ยนผ้านุ่ง ผ้าห่ม ที่สวมใส่มาจากบ้านออก แล้วนุ่งห่มผ้าคากรองสีแดงฝาด ห่มด้วยผ้าลายเสือเหลือง เฉวียงบ่า สวมใส่ชฎาคากรอง ดุจดังฤาษี ตรงเข้าแบกหามไม้คานหาบสัมภาระ ของสมณะวิสัย แล้วมือขวาถือไม้เท้าหัวนาค เดินออกจากบรรณศาลาด้วยกำลังกาย เดินจงกรมกระทำประทักษิณ จงกรมวนขวารอบบรรณศาลา ๓ รอบ
ในเวลานั้นบรรดาภูติ เทวดา เจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา และหมู่สัตว์ อมนุษย์ทั้งหลาย พากันมาแสดงความยินดี อนุโมทนากันอย่างมากมาย ต่างพากันนำมูลผลาหาร อันมีรสโอชามาถวายในเวลาเช้าทุกวันมิได้ขาดพร้อมทั้งน้ำผึ้ง น้ำอ้อย
โชติปาลดาบสโพธิสัตว์ เมื่อได้บวชเป็นดาบสแล้ว ก็ตั้งมั่นอยู่ในความสำรวม สังวรระวังอินทรีย์ ดำรงสติมั่น ตั้งจิตอยู่ในสมาธิอยู่อย่างแนบแน่ มั่นคง จนยังอภิญญาสมาบัติแปด ให้บังเกิดภายในเวลา ๗ วัน
ฝ่ายบิดามารดาของพระมหาโพธิสัตว์โชติปาลกุมาร เมื่อถึงรุ่งสางก็กระวีกระวาดลุกจากที่นอน เร่งรีบทำภารกิจส่วนตัวพร้อมกับเรียกให้บ่าวรับใช้ไปปลุกโชติปาลกุมาร ให้รีบอาบน้ำแต่งตัวมากินข้าว เดี๋ยวจะได้ไปเข้าเฝ้าองค์ราชากับพ่อ ทำไมวันนี้ถึงได้นอนตื่นสาย หรือว่าเมื่อวันวานลูกเราจักเหนื่อย เมื่อย เพลีย ที่ได้ประลองวิชายิงธนูต่อหน้าพระพักตร์ วันนี้เลยนอนตื่นสาย พวกเจ้าจงเร่งไปปลุกให้ลุกอาบน้ำอาบท่า แต่งตัวมากินข้าวกินน้ำจะได้ไปเข้าเฝ้าองค์เหนือหัวกันแต่เช้า
ข้างฝ่ายบ่าวไพร่ในเรือน เมื่อได้รับคำสั่งจากปุโรหิตเช่นนั้น จึงตรงไปยังห้องนอนของโชติปาลกุมาร พอไปถึงก็เห็นประตูห้องนอนเปิดอยู่ จึงชะโงกหน้าเข้าไปดู เมื่อไม่เห็นนายน้อย จึงรีบกลับมาบอกแก่นายปุโรหิตว่า
ข้าแต่นาย ข้าพเจ้าเข้าไปปลุกนายน้อย เห็นประตูห้องเปิดอยู่ จึงชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้องนอน ก็แลไม่เห็นตัวนายน้อย ชะรอยนายน้อยจักตื่นแต่เช้าแล้วจ๊ะนาย
ปุโรหิตและภรรยาจึงกล่าวว่า เช่นนั้นเจ้าก็ไปเดินตามดูทีว่า ลูกเราไปอยู่ที่ไหน หรือจะไปเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้าน จงไปเร่งรีบให้กลับมากินข้าวพร้อมหน้าพ่อแม่ จักได้เข้าวัง
เวลาต่อมาบ่าวผู้นั้นก็วิ่งกลับมาแจ้งแก่พราหมณ์ปุโรหิต ๒ สามีภรรยาว่า นาย..พวกข้าได้ออกตามหานายน้อยไปทั่วเรือนแล้ว ยังไม่เห็นนายน้อยเลย
พราหมณ์ปุโรหิตและภรรยา จึงถามว่า แล้วเจ้าได้ไปดูรอบๆ บ้านทั้งภายในและภายนอกบ้านแล้วหรือยัง
พวกบ่าวไพร่จึงแจ้งแก่สองสามีภรรยาว่า พวกข้าได้พากันไปตามดูเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่เห็น
ข้างปุโรหิตและภรรยา จึงร้อนใจได้สั่งให้บ่าวไพร่ภายในเรือนทุกคนออกตาม ถามหาบุตรชายตามบ้านเรือนเพื่อนๆ และหมู่ญาติไม่เว้นแม้แต่ตามร้านค้า ตรอกซอกซอยในตลาดก็ให้ระดมคนไปตามหา
จวบจนเวลาล่วงเลยมาสายมากแล้ว ทุกคนก็ไม่มีใครได้พบเห็นโชติปาลกุมาร มารดาของชิปาละ เมื่อเห็นว่า ไม่มีใครได้พบเห็นบุตรชายของตนจึงบังเกิดความวิตกกังวล เศร้าเสียใจ ร้องไห้ด้วยความห่วงใยว่า ลูกชายอาจจะมีภัย ถูกผู้คนจับตัวไปทำร้ายหรือเรียกค่าไถ่ ด้วยเพราะเมื่อวานนี้ลูกเราสามารถเอาชนะนายขมังธนูได้ทั้ง ๖๐,๐๐๐ นาย จนบังเกิดลาภสักการะมากมาย หรือไม่ก็พวกข้าราชบริพารขององค์ราชาอาจจะบังเกิดความอิจฉาริษยา ที่ลูกของเราจักได้รับพระราชทานบำเหน็จให้ได้เป็นเสนาบดีในวันนี้ คนพวกนั้นจึงได้มาลักพาตัวลูกเราไป
ไม่รู้ว่าป่านนี้ลูกเราจักเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง นางร้องไห้พร้อมกับร่ำไรรำพันอยู่เช่นนี้ จนพวกบ่าวไพร่ทั้งหลาย ก็พากันร้องไห้คร่ำครวญตามฝ่ายพราหมณ์ปุโรหิตจึงกล่าวว่า แม่เอ่ย..อย่าพึ่งโวยวายเสียอกเสียใจไปเลย เรายังไม่รู้แน่ชัดว่า ลูกเราหายตัวไปเพราะเหตุใด การที่จักไปกล่าวตำหนิติโทษผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐาน รู้ไม่จริงนั้น เป็นการไม่สมควร กาลนี้ก็จักได้เวลาที่เราจักเข้าเฝ้าองค์มหาราชแล้ว เราจักนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระองค์ให้ทรงทราบ เผื่อว่าพระองค์จักทรงมีพระบัญชาให้ราชบุรุษช่วยกันออกตามหาลูกเราอีกทางหนึ่ง พวกเจ้าก็จงสงบจิต สงบใจรอฟังข่าวจากเราอยู่ในเรือนก็แล้วกัน
พราหมณ์ปุโรหิต เมื่อครั้นได้เข้าเฝ้าองค์ราชาพรหมทัตแล้ว จึงทูลเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่โชติปาลกุมาร ให้องค์ราชาทรงทราบ พระองค์ทรงแสดงความปริวิตกเป็นอย่างยิ่งถึงขนาดตรัสเรียกหมู่อำมาตย์ ข้าราชบริพารให้ระดมไพร่พลพากันออกตามหาตัวโชติปาลกุมาร ให้ทั่วพระนครพาราณสีทั้งภายในและภายนอก
จวบจนเวลาล่วงเลยมาถึงยามสาย หมู่อำมาตย์และข้าราชบริพารต่างกลับมาทูลรายงานว่า ไม่มีผู้ใดได้พบตัวโชติปาลกุมารเลย ทั้งยังไม่เห็นใครที่แปลกหน้าเข้าไปในเรือนของพราหมณ์ปุโรหิตด้วย
องค์ราชาพรหมทัตจึงทรงร้อนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงมีพระบัญชาให้ประกาศว่า ผู้ใดพบเห็นโชติปาลกุมารแล้วนำความมาบอกเราหรือชี้ทางให้เราหรือหมู่ญาติไปพบตัวโชติปาลกุมารได้ จักได้เงิน ๑ แสนกหาปนะ
อยู่มาวันหนึ่งพรานผู้หนึ่ง เมื่อได้รับรู้คำประกาศขององค์มหาราชพรหมทัต จึงคิดว่า เรามีปกติออกเที่ยวป่าล่าสัตว์อยู่ทุกวัน หากได้พบเบาะแสของกุมารน้อยผู้นั้น คงจะเป็นลาภของเรายิ่งนัก เราจักได้มิต้องลำบากไปเที่ยวล่าสัตว์อีกต่อไป
วันนี้จบแค่นี้ก่อนนะจ๊ะ
พุทธะอิสระ
——————————————–