เรื่องนี้ต้องขยาย (พระอุรุเวลกัสสปะ ตอนที่ ๒)
๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เราท่านทั้งได้รับรู้ประวัติท่านพระอุรุเวลกัสสปะผู้สำคัญผิดคิดว่า ตนเองเป็นอรหันต์ก่อนที่จะได้ฟังธรรมจากพระบรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
มิใยที่พระบรมศาสดาจะทรงกระทำปาฏิหาริย์ตั้งมากมายในตลอดระยะเวลา ๒ เดือนเพื่อจูงใจให้ที่อุรุเวลกัสสปะดาบส หันมาสนใจพระองค์ขณะที่ทรงอาศัยอยู่ในโรงบูชาไฟ และสำนักของอุรุเวลกัสสปะผู้บำเพ็ญพรตเป็นฤาษี
แม้ฤาษีอุรุเวลกัสสปะจะรับรู้ว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มียศมาก เป็นที่เคารพของหมู่เทพ พรหมทุกชั้นฟ้า ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเข้าเฝ้า ถวายความเคารพ ฤาษีอุรุเวลกัสสปะให้รู้สึกอัศจรรย์ใจอยู่มิใช่น้อยก็ตามที
แต่ด้วยมิจฉาทิฐิความถือตัวถือตนจึงคิดว่า ตนเป็นอรหันต์เป็นครูอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีลูกศิษย์ลูกหาผู้คนเคารพนับถือมากมายไม่เว้นแม้แต่พระราชาพิมพิสาร
ฤาษีอุรุเวลกัสสปะผู้มีจิตกระด้างก็หาได้ยอมรับพระบรมศาสดาโดยดีไม่ ซ้ำยังแสดงกิริยากระด้างต่อพระบรมศาสดา
เรื่องที่เราท่านทั้งหลายควรต้องพิจารณาคือ ทำไมอุรุเวลกัสสปะฤาษี ถึงได้มีจิตหยาบกระด้างขนาดนี้ ทั้งที่พระบรมศาสดาทรงอยู่ด้วยถึง ๒ เดือน
อธิบายได้ว่า เป็นธรรมดาของผู้ที่เชื่อมั่นในตนเองสูง ยิ่งอยู่ในสถานะของครูบาอาจารย์ ทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นอรหันต์อีกด้วย ก็ยิ่งทรนงอวดดี มีมิจฉาทิฐิถือตัวถือตนอย่างมาก มิใยที่พระบรมศาสดาจะทรงโปรดด้วยการแสดงฤทธิ์ให้ดูเพื่อให้อุรุเวลกัสสปะฤาษี ได้รู้ว่า ตนมิได้มีเดช มีตบะ มีฤทธิ์อำนาจดังที่ประกาศอวดอ้าง
ในเวลาต่อมาพระบรมศาสดาทรงพิจารณาเห็นความอหังการ อวดดีมีมิจฉาทิฐิอังแรงกล้า จึงทรงดำริที่จะทรมานอุรุเวลกัสสปะฤาษี ให้ได้มีระลึกรู้ว่า สิ่งที่ตนยึดถือว่าตนเป็นอรหันต์นั้นหาได้เป็นความจริงไม่
พระบรมศาสดาจึงทรงตรัสว่า ทำไมท่านถึงได้หลงผิด เห็นผิดเป็นโมฆบุรุษอยู่เช่นนี้ ตัวท่านมิใช่เป็นอรหันต์แล้วยังหลอกตนเองและหลอกคนอื่นอยู่อีกหรือ
“หากรู้สึกสำนึกผิด จงปฏิบัติตามคำสอนของเราตถาคต ท่านจะได้เป็นอรหันต์จริงภายในไม่ช้า”
อธิบายความว่า พระดำรัสเช่นนี้ถือว่า เป็นถ้อยคำที่รุนแรงสำหรับผู้ที่คิดว่า ตนเป็นอรหันต์อาจารย์ใหญ่ เพราะทรงตรัสต่อหน้าบริวารทั้ง ๕๐๐ ของอุรุเวลกัสสปะดาบส
แต่ด้วยบารมีที่อุรุเวลกัสสปะฤาษีได้สั่งสมมาเป็นแสนกัปป์ แทนที่จะอุรุเวลกัสสปะฤาษีจะตกอยู่ในวังวนแห่งอารมณ์โกธร กลับกลายเป็นผู้มีสติปัญญาตั้งมั่นพิจารณาถ้อยคำที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสเตือน อย่างรุนแรงต่อหน้าสานุศิษย์ของตน
อุรุเวลกัสสปะฤาษีเกิดความสลดสังเวชใจจึงละมิจฉาทิฐิที่ตนถือมาตลอดเสีย แล้วตรงเข้าไปก้มกราบที่พระบาทพร้อมนำศีรษะลงแนบหลังพระบาทองค์พระบรมศาสดา
พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงธรรมยังผลให้อุรุเวลกัสสปะมีดวงตาเห็นธรรม แล้วขอบวช
พระบรมศาสดาจึงทรงตรัสให้อุรุเวลกัสสปะชักชวนบริวารทั้ง ๕๐๐ บวชด้วย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ ทำไมพระบรมศาสดาจึงตรัสให้อุรุเวลกัสสปะชักชวนให้บริวารทั้ง ๕๐๐ ของตนเข้ามาบวชด้วย
อธิบายความว่า ก็ด้วยเพราะบรรดาสานุศิษย์ทั้ง ๕๐๐ ยังมีจิตยึดมั่นศรัทธาอยู่กับอุรุเวลกัสสปะฤาษีอย่างลุ่มหลง งมงาย โดยเชื่อว่า อาจารย์ของตนเป็นอรหันต์เป็นผู้คงแก่เรียน เป็นผู้มีเดช มีฤทธิ์มาก แล้วทำไมถึงได้มายอมก้มหัวศิโรราบแทบเท้าของสมณโคดมเช่นนี้
ด้วยจิตที่ถือทิฐิลุ่มหลงเช่นนี้ จึงไม่สนใจสดับรับฟังพระธรรมที่พระบรมศาสดาทรงแสดง จึงยังไม่ได้บรรลุผลใดๆ
พระบรมศาสดาเมื่อเห็นถึงทิฐิความยึดมั่นถือมั่น ที่มีอยู่ในสานุศิษย์ของอุรุเวลกัสสปะ พระพุทธองค์จึงทรงดำรัสตรัสสั่งให้อุรุเวลกัสสปะเจรจาชักชวนสานุศิษย์ของตนให้มาร่วมบวชด้วย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย แล้วทำไมพระบรมศาสดาถึงได้ต้องการให้อุรุเวลกัสสปะชักชวนสานุศิษย์ทั้ง ๕๐๐ เข้ามาบวช
อธิบายความว่า ก็เพราะพระบรมศาสดา ทรงต้องการภิกษุสงฆ์สาวกไปช่วยเผยแผ่พระสัจจธรรมอันบริสุทธิ์ บริบูรณ์ให้ประโยชน์ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดอย่างแท้จริง
ท่านอุรุเวลกัสสปะรวมพี่น้องอีกสองคน ยังมีสานุศิษย์รวมกัน ๑,๐๐๓ คน หากได้มาเป็นสาวกจัดเป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระสัจจธรรมอันประเสริฐยิ่ง ให้ขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ
ด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้พระพุทธองค์ทรงต้องอยู่ในสำนักของดาบสอุรุเวลกัสสปะถึง ๒ เดือน
วันหน้าจะนำประเด็นที่เกี่ยวกับท่านอุรุเวลกัสสปะ มาอธิบายขยายความให้ท่านทั้งหลายได้ศึกษาเรียนรู้ต่อไปนะจ๊ะ
พุทธะอิสระ
——————————————–