หากไม่รู้จริง ก็อย่าได้พูด อย่าได้โพสต์ อย่าได้เขียนโพนทะนาไป นอกจากมันไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย
๘ ตุลาคม ๒๕๖๔
******************************************************
Phuthipong Kongphaung:
ตอนนี้ เขาไม่ได้ด่าแค่มหาเถรสมาคมหรอกครับ เขาด่าไปถึงในหลวง และสมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากมีจดหมายเสนอความเห็น ตั้ง/ปลด ส่งไปยังในหลวง มันก็เลยทำให้คนมองว่า เหตุใด พระสังฆราชที่เป็นเสมือนผู้นำสูงสุดทางศาสนจักร ถึงยังต้องไปถามความเห็นพระเจ้าอยู่หัว ที่เป็นประมุขของรัฐทางโลกอีก แบบนี้เท่ากับ พระมหากษัตริย์ แทรกแซง ล้วงลูก หรือ พระสังฆราช ท่านได้ทำการไม่เหมาะสมหรือไม่ ประหนึ่งว่า เหมือนโยนเผือกร้อนให้พระมหากษัตริย์ร่วมรับผิดชอบด้วย
ตอนนี้มันก็เลยเป็นแบบนี้ ถ้าไม่รีบทำให้ชัดเจน ศรัทธาระหว่างทั้งศาสนาและพระมหากษัตริย์ จะพังลง ในหมู่ศาสนิก ที่รักความเป็นธรรม
******************************************************
ขออนุญาตอธิบายความคุณผู้โพสต์ และผู้อ่านทั้งหลาย ให้ได้เข้าใจ
หากอะไรที่เราไม่รู้จริง ก็อย่าได้พูด อย่าได้โพสต์ส่งเดชไป ไม่เช่นนั้นจะตกเป็นเครื่องมือของขบวนการยุให้รำ ตำให้รั่ว ที่มันกำลังพยายามสร้างความแตกแยกอยู่
ดูตัวอย่าง ๓ ป. สิ ขบวนการนี้ก็พยายามยุให้เขาแตกกัน ทั้งที่พวกเขารักใคร่ปองดองกันมายาวนาน
กรณีมหาเถรมีมติปลด ๓ เจ้าคณะนี่ก็เช่นกัน มีขบวนการดึงเอาสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยที่ไม่พิจารณาถึงข้อเท็จจริง
เพียงเพื่อต้องการทำลายความสัมพันธ์ของสถาบันกับคณะสงฆ์ โดยหยิบเอาบุคคลที่มีมลทินทั้ง ๓ ที่ถูกปลดมาเป็นหมาก
หากจะว่ากันจริงๆ แล้ว ผู้ที่ถูกปลดทั้ง ๓ ล้วนมีมลทินในด้านพระธรรมวินัย และด้านจริยพระสังฆาธิการ มาด้วยกันทั้งนั้น
เช่น
กรณีเจ้าคณะจังหวัดปทุม เป็นที่รู้จักกันว่า ชอบอุ้มพวกธรรมกายจนสุดลิ่มทิ่มประตู โดยไม่แยกแยะถูกผิด
กรณีเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ก็มีปัญหาตอนได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งกฎของมหาเถรสมาคมระบุไว้ว่า ต้องเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดมาก่อนไม่น้อยกว่า ๒ ปี ซึ่งไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว เพราะไม่เคยปฎิบัติหน้าที่นี้มาก่อน และยังมีอธิกรณ์ การผิดจรรยาพระสังฆาธิการอย่างร้ายแรง แต่ทางมหาเถรสมาคมชุดเก่า มีคำสั่งแค่ตำหนิโทษเท่านั้น
กรณีเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ ก็ออกมาปกป้องภิกษุเสพเมถุนรูปหนึ่ง จนเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล เรื่องนี้เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งนำหลักฐานมาให้ฉันดูด้วย ต่อมาภิกษุรูปดังกล่าวได้แจ้งความจับต่อผู้เสียหาย และบีบบังคับให้ผู้เสียหายไปขอขมา แล้วอ้างว่าจะยินยอมถอนแจ้งความเอาผิด
พอผู้เสียหายมาขอขมา ก็ทำการถ่ายภาพส่งให้เจ้าคณะจังหวัดที่ถูกปลดดู เจ้าคณะแทนที่จะเรียกผู้เสียหายและภิกษุผู้ถูกกล่าวหาสอบ กลับยุติเรื่องโดยมิได้มีการดำเนินการทางการปกครองใดๆ ตามที่ผู้เสียหายร้องเรียนเลย
ส่วนเรื่องคดีความเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นลูกศิษย์ของภิกษุผู้เสพเมถุน ก็ไม่ได้ยุติตามที่รับปากต่อผู้เสียหาย กลับดำเนินคดีต่อ ผลคือศาลอุทธรณ์ยกฟ้องบางข้อหา แต่ศาลฎีกายกฟ้องทั้งหมด
หากมหาเถรอธิบายความจริงดังกล่าวมานี้ให้สังคมรับรู้อย่างชัดเจน เรื่องมันก็จบ
แต่กลับเลือกที่จะเงียบ แถมคนในมหาเถรออกมาพูดว่าไม่รู้เรื่อง
นี่ก็ยิ่งเหมือนกับโยนเผือกร้อนไปให้สถาบัน ทั้งที่แท้จริงแล้วพระองค์ท่านไม่ได้เข้ามามีบทบาทใดๆ กับเรื่องการปกครองคณะสงฆ์เลย
สิ่งที่มหาเถรทำอยู่ เป็นอยู่ คือการปฏิเสธ นั้นก็เท่ากับการทำให้สังคมเข้าใจว่า เป็นการกระทำของเบื้องสูง ทั้งที่มันไม่เป็นจริงอย่างที่ทุกคนคิดเลย
ประเด็นที่ทุกคนควรจะค้นหา คือ
– ใครเป็นผู้ตั้งเรื่องปลดนี้
– ใครเป็นผู้ชงเรื่องให้มหาเถรพิจารณา
– มหาเถรใช้หลักคิดอะไร จึงได้มีมติลงโทษ
– การลงโทษผู้ใต้ปกครอง เป็นไปโดยชอบต่อหลักพระธรรมวินัยและหลักกฎหมายคณะสงฆ์หรือไม่
– เมื่อสอบ ตรวจทานแล้ว ทำไมไม่แจ้งให้ศาสนจักรได้รับรู้ตามหลักพระธรรมวินัย
ย้ำ! เรื่องนี้ พระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงมาเกี่ยวข้องด้วยเลย อย่ามายุให้แตกแยก
พุทธะอิสระ