ขออนุญาตแชร์นะจ๊ะ
๒๕ เมษายน ๒๕๖๑
ฉันเห็นด้วยกับคุณ และสนับสนุนให้ช่วยกันเรียกร้องให้ท่านนายกใช้อำนาจที่มีอยู่ ปฏิรูปวงการคณะสงฆ์อย่างจริงจัง และยกเลิก พรบ.คณะสงฆ์ที่ย่ำยีพระธรรมวินัยเสียให้หมด เพราะหากยังมี พรบ.คณะสงฆ์ฉบับนี้อยู่ พวกอลัชชีจักไม่มีวันได้ขึ้นศาลสงฆ์แน่นอน
พุทธะอิสระ
———————————————————-
นายกฯแอ่นอกป้องพงศ์พร !
บิ๊กตู่การันตีคนดีที่หนึ่ง
พงศ์พรไม่ผิด ทำไมต้องย้าย
จะย้ายไปทำไม เขาทำผิดอะไร ฯลฯ !
อา..นั่นนะสิ ก็แค่เขียน “คอมเมนต์” เพิ่มเข้าไปในสำนวนสอบที่ยื่นต่อ ปปช. ว่า “พระชั้นพรหมทั้ง 3 รูป ทำผิดถึงขั้นปาราชิก ต้องขาดจากความเป็นพระ ไม่ควรครองสมณศักดิ์และดำรงตำแหน่งกรรมการ มส. อีกต่อไป” แค่เนียะก็จะเอาเป็นเอาตายกันเชียวหรือ ในสายตาของชาวพุทธทั่วไป โดยเฉพาะ “ลูกศิษย์” ของพระทั้ง 3 รูปนั้น อาจจะมองเห็นว่า “เป็นการกล่าวหาสร้างรอยมลทินให้แก่พระผู้ใหญ่อย่างร้ายแรง ปล่อยเอาไว้ไม่ได้” แต่สำหรับ “นายกรัฐมนตรี” ซึ่งเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการพระมหากษัตริย์ไทย ในฐานะ “องค์เอกอัครศาสนูปถัมภก” แล้ว เห็นว่าธรรมดา ไม่มีอะไรเสียหาย ตราบใดที่ศาลยังไม่พิพากษา ก็ยังถือว่า “ทุกคนบริสุทธิ์” อยู่ตราบนั้น เพราะทุกวันนี้ ไม่มีมาตรฐานทางศาสนาเหลืออยู่อีกแล้ว ไม่ว่าพระว่าโยมหันมาใช้ “ศาลอาญา” เหมือนกันหมด
มองอีกมุมหนึ่ง เมื่อกรรมการ มส. เล่นแง่ ไม่ยอมใช้ “หลักพระธรรมวินัย”วินิจฉัยในกรณีธรรมกาย แต่โยนภาระให้แก่ “ราชการบ้านเมือง” และ “ศาลยุติธรรม” ให้เข้ามาทำงานแทน วันนี้ก็เลยโดนระบบ “ศาลยุติธรรม” เข้ามาดำเนินการแทนในแบบเดียวกันบ้าง เพราะถ้าใช้หลักพระธรรมวินัย “ธัมมชโย”คงผ้าเหลืองหลุดไปนานแล้ว แต่เมื่อไม่ยอมใช้ แถมยังนั่งกินตำแหน่งกันอย่างไม่รู้สึกรู้สา ก็อย่าหาว่าไม่เตือน หายนะมันมาเยือนเพราะมือใครไปเปิดประตูวัดให้เขาเข้ามา
นี่ไงที่ชี้ให้เห็นว่า “ระบบการปกครองของมหาเถรสมาคมไม่เวิร์ค” พระธรรมวินัย กฎหมายคณะสงฆ์ ระเบียบ กติกา จารีต ประเพณี ที่มีอยู่ ไม่สามารถนำมาบังคับใช้อย่างละมุนละม่อมได้ สุดท้าย ทั้งผ้าเหลืองผ้าลาย หันไปขึ้นศาลยุติธรรมกันหมด ศาลสงฆ์ไร้ความหมาย เพราะไม่ยอมทำงาน เริ่มจากกรณีธรรมกายเป็นต้นมา
ถามว่า จะโวยวายไปทำไม ในเมื่อเขามอบอำนาจให้คุณแล้ว แต่คุณไม่ใช้ หรือใช้ไม่เป็น ก็โดนยึดอำนาจคืน เหมือนประชาธิปไตยนั้นแหละ เขาให้โอกาสคุณทำงานแล้ว แต่เมื่อทำไม่สำเร็จ นำเอาประชาธิปไตยไปรับใช้ตัวบุคคล มากกว่า “โดยประชาชน เพื่อประชาชน” ก็ถูกยึดอำนาจ
วันนี้ ธรรมาธิปไตยในวงการสงฆ์ ถูกรัฐบาล คสช. ยึดไป โดยใช้ให้ “พงศ์พร” เข้ามาดำรงตำแหน่ง “สังฆราชเงา” วันดีคืนดีก็ “ออกมติ มส.” เอาเอง โดยใช้หนังสือเวียน ไม่ต้องประชุมให้เสียเวลา วันดีคืนดีก็เขียนสำนวนเสนอ ปปช. “พระชั้นพรหมทั้ง 3 รูป ทำผิดถึงขั้นปาราชิก ต้องขาดจากความเป็นพระ ไม่ควรครองสมณศักดิ์และดำรงตำแหน่งกรรมการ มส. อีกต่อไป” ทำนองเป็นสังฆราช สามารถ “สั่งสึกพระ” รูปไหนก็ได้
จึงขอถาม “บิ๊กตู่” ในฐานะ “ประธานรัฏฐาธิปัตย์” ว่า “ท่านมีอำนาจมากที่สุดในโลกอยู่แล้ว มากกว่าพระสังฆราชเสียอีก ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลงทุนเล่นมาไกลถึงเพียงนี้ เหลือเพียงยุบมหาเถรสมาคม หรือฉีก พรบ.คณะสงฆ์ทิ้ง เท่านั้นเอง ทำไมไม่ทำ รีรออะไรอยู่”
เมื่อผู้นำชาวพุทธพูดถึงพระกับกฎหมาย
โดยไม่พูดถึง..พระธรรมวินัย
นายกป้องพงศ์พรยังไม่ทำผิดลั่นให้กฎหมายตัดสิน
นายกฯย้ำเคารพพระทุกรูป ให้กฎหมายตัดสินใครถูก-ผิด ป้อง “พงศ์พร” ยังไม่ทำผิดอะไร
เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มชาวพุทธบางส่วนเรียกร้องให้เอาผิด พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จากการไปแจ้งข้อกล่าวหากับพระสงฆ์และผู้ที่ถูกตรวจพบว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินอุดหนุนวัด ว่า ผู้อำนวยการ พศ. ยังไม่ได้ทำความผิดหรือทำนอกกติกาอะไร มันเป็นเพียงขั้นตอนการนำเข้าสู่การตรวจสอบเท่านั้น ถือเป็นต้นทางของกระบวนการ ซึ่งเราต้องหาคนดี คนซื่อสัตย์ คนที่ซื่อตรงมาทำงานตรงนี้ ขณะที่กระบวนการยุติธรรมในการสอบสวนก็ต้องว่ากันไป อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าเคารพพระสงฆ์ทุกองค์
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการแก้ปัญหาการทุจริตเงินอุดหนุนวัดว่า ต้องย้อนกลับไปดูว่าเริ่มมาจากการทุจริตใน พศ. จะถูกหรือผิดก็ต้องว่ากันไป ขณะเดียวกัน ในทางกฎหมายต้องสอบสวนว่าเงินเหล่านี้ไปอยู่ที่ใดบ้าง บัญชีเป็นของใคร เขายังไม่ได้ว่าใครผิดหรือถูก แล้วจะออกมาเคลื่อนไหวอะไรกันนักหนา ถ้าผู้ที่ถูกกล่าวหาสามารถชี้แจงได้ และถูกต้องตามกฎหมาย ก็จบไป
ที่มา : เดลินิวส์ : 25 เมษายน 2561