ผู้ตรวจฯ วินิจฉัยอะไร จะเป็นจะตายอะไร ถึงออกมาดิ้นพล่าน?

0
169

ทันเหตุการณ์กับหลวงปู่พุทธะอิสระ

ผู้ตรวจฯ วินิจฉัยอะไร จะเป็นจะตายอะไร ถึงออกมาดิ้นพล่าน?

๘  มีนาคม  ๒๕๕๙

150359 ทันเหตุการณ์กับหลวงปู่พุทธะอิสระ ผู้ตรวจฯ วินิจฉัยอะไร

นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงกรณีร้องเรียนให้ตรวจสอบการเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะที่สมควรได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เสนอให้มหาเถรสมาคม (มส.) พิจารณาและเสนอชื่อ(สมเด็จช่วง) ไปยังนายกรัฐมนตรี

ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า ไม่เป็นไปตามขั้นตอน มาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535

ปรากฏว่า พระสงฆ์บางกลุ่ม ออกอาการจะเป็นจะตาย!

1) ฝ่ายผู้สนับสนุนสมเด็จช่วงบางคน อ้างตัวเป็นนักวิชาการพุทธศาสนา แต่มั่วดิ้นพราดๆ ว่า ผู้ตรวจฯ วินิจฉัยเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเท่ากับรับลูกตามการยื่นคำร้องของนายไพบูลย์ นิติตะวัน!!!

การแสดงความเห็นเช่นนี้ สะท้อนถึงสติปัญญาถึงขั้นโง่เง่าเต่าถุย

ระดับสติปัญญาเท่านี้ ยังอุตส่าห์บากหน้าแสดงตัวเป็นนักวิชาการออกมาเคลื่อนไหว

เพราะในความเป็นจริง ผู้ที่ไปร้องให้หน่วยงานวินิจฉัย มันก็ต้องเป็นคนที่คัดค้าน ไม่เห็นด้วยกับกรณีนั้นๆ ส่วนผู้ตรวจการฯจะวินิจฉัยอย่างไร ย่อมมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ตรวจการฯ โดยกรณีนี้ นายศรีราชา วงศารยางกูร ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ และนายบูรณ์ ฐาปนดุลย์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ร่วมกันพิจารณาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย ระเบียบราชประเพณี ประกอบเอกสาร
หลักฐานจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องแล้ว จึงมีความเห็นว่า เป็นกระทำผิดขั้นตอน
ไม่เป็นไปตามกฎหมาย

หากใครจะคัดค้าน ก็ต้องแสดงประเด็นข้อกฎหมาย เหตุและผล ว่าไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการฯ ประเด็นใด อย่างไร มิใช่อ้างมั่วๆ ซั่วๆ ชุ่ยๆ ทำนองว่าผู้ตรวจการฯ จะเห็นด้วยกับผู้ร้องไม่ได้เลยแบบนี้

2) ผู้ตรวจการฯ มีอำนาจหรือไม่?

มาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ได้บัญญัติให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทำหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ประเด็นดังกล่าวเป็นการร้องเรียนการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของข้าราชการและหน่วยงานของรัฐ ดังนั้น จึงอยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่จะพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน ตามมาตรา 13 (1) (ก) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
ผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552

3) ทำไมตอนตั้งสมเด็จพระสังฆราชก่อนหน้านี้ มิได้ทำแบบนี้?

ผู้ตรวจการอธิบายไว้ชัดเจนว่า หลังจากมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (แก้ไขเพิ่มเติม) ฉบับที่ 2 พ.ศ.2535 เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2535 ยังไม่เคยมีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแต่อย่างใด

การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ครั้งนี้ จะเป็นการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 เป็นครั้งแรก

พูดง่ายๆ ว่า การเสนอชื่อแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ก่อนหน้านี้ ดำเนินการตามกฎหมายที่ยังไม่ได้แก้ไขเมื่อปี 2535 ดังนั้น ขั้นตอน กระบวนการ จึงแตกต่างกัน

4) ตัวบทกฎหมายชัดเจนว่า มอบอำนาจหน้าที่แก่นายกฯ และเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชแล้ว นายกฯ ต้องเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการด้วย

ผู้ตรวจการฯ ชี้ว่า ฯ วรรคสอง ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ได้บัญญัติว่า “ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลงให้นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด โดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช”

คำว่า “ให้” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 แปลความหมายว่า “มอบ อนุญาต เป็นคำกริยา บอกความบังคับ” จึงเป็นการ “ให้อำนาจแก่ผู้ที่กำลังจะกล่าวถึง”

จากรูปประโยค “ให้นายกรัฐมนตรี…” มีนายกรัฐมนตรีเป็นภาคประธานของประโยค

“โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม…” เป็นบทขยายประธานของประโยค

“เสนอ” เป็นคำกริยาของภาคประธาน

“นามสมเด็จพระราชาคณะ” เป็นกรรม

“ผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์” เป็นส่วนขยายกรรม

ถ้าแปลความตามรูปประโยค จะเห็นว่า มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 คือให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ เมื่อมหาเถรสมาคมให้ความเห็นชอบแล้ว นายกรัฐมนตรีจึงเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ นำขึ้นทูลเกล้าฯ พระมหากษัตริย์สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช

5) ตกลง ใครเสนอชื่อให้ใครเห็นชอบ?

ผู้ตรวจการฯ ชี้ว่า บทบัญญัติของกฎหมายตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 มีเจตนารมณ์ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ โดยมหาเถรสมาคมมีอำนาจหน้าที่ให้ความเห็นชอบนามสมเด็จ
พระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอนามมา เมื่อ
มหาเถรสมาคมให้ความเห็นชอบแล้ว นายกรัฐมนตรีจึงเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ นำขึ้นทูลเกล้าฯ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชต่อไป

แต่การที่มหาเถรสมาคมได้พิจารณารับรองรายงานการประชุมครั้งพิเศษ ที่ 1 /2559 เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 ในการประชุมมหาเถรสมาคมครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2559 มหาเถรสมาคมจึงได้แจ้งมติดังกล่าวให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทราบ โดยกรรมการมหาเถรสมาคมได้ลงมติเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะที่จะสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เรียบร้อยแล้ว และผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่งและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทำหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ได้มีบันทึกเรียนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เพื่อนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชต่อไปนั้น ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้นทั้งหมด เป็นการริเริ่มจากมหาเถรสมาคมทั้งสิ้น มิใช่การริเริ่มจากนายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาลแต่อย่างใด

6) ผู้ตรวจการฯ รับรองพระราชอำนาจไว้ด้วย ระบุว่า

ราชอาณาจักรไทยได้เคยบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับคณะสงฆ์มาหลายฉบับประกอบด้วยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 (พุทธศักราช 2445) อันตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484 อันตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535

บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช การสถาปนาฐานันดรศักดิ์และการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยแท้จริงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และตามระเบียบราชประเพณี เป็นการถวายพระราชอำนาจไว้ให้ทรงสถาปนาได้ตามพระราชอัธยาศัย ตามที่ทรงพระราชดำริเห็นสมควร จากคำกราบบังคมทูลของคณะรัฐบาล และสังฆทัศนะในมหาเถรสมาคมเป็นเอกฉันทมติ ทั้งนี้ ระยะเวลาในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่แทนพระองค์เดิมซึ่งสิ้นพระชนม์ กฎหมายคณะสงฆ์ไทยมิได้กำหนดระยะเวลาไว้แต่อย่างใด

7) ยิ่งกว่านั้น ผู้ตรวจฯ ยังชี้ชัดลงไปเลยว่า “ถึงแม้ว่ามหาเถรสมาคมจะมีอำนาจปกครองสงฆ์ แต่มิได้หมายความว่าคณะสงฆ์จะมีอิสระจากการควบคุมจากกลไกของรัฐ อำนาจฝ่ายรัฐสามารถตรวจสอบและควบคุมการบริหารกิจการคณะสงฆ์ได้ตลอดเวลาในนามของการอุปถัมภ์ ส่งเสริม และคุ้มครองทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ดังจะเห็นได้จากมาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 9 มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 13 มาตรา 15 ทวิ มาตรา 32 ทวิ มาตรา 34 มาตรา 35 มาตรา 40 และมาตรา 46 แห่ง
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535”

กรณีผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทำหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ได้มีบันทึกเรียนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ในเรื่องการเสนอชื่อข้างต้นนั้น “จึงเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนตามบทบัญญัติของกฎหมาย มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของข้าราชการและหน่วยงานของรัฐ”

พูดง่ายๆ ว่า ล้ำหน้า!

ถึงเตะเข้าประตู ก็ไม่ได้คะแนนนะจ๊ะ

และถ้าเกเรนัก ก็ถูกกรรมการจัดการได้ตามกฎหมายด้วยนะจ๊ะ

ขอขอบคุณ  หนังสือพิมพ์แนวหน้า