มีคนนำคอมเม้นท์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กนามว่า Akrachai Kantama ที่เขานำภาพที่มีคำพูดของนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการเสื้อแดง ด้านรัฐศาสตร์ ผู้ดำเนินรายการ TV24 และวอยซ์ทีวี เข้ามาคอมเม้นท์ในบทความที่ฉันเขียน เรื่อง คนพุทธไทยต้องอ่าน ตอนที่ ๑๑
———————————————————–
Akrachai Kantama:
“เป็นความเชื่อส่วนบุคคล คนที่ศรัทธามี คนที่ไม่ศรัทธา คุณก็ไม่ต้องมาวัดเค้า แต่คุณไม่มีสิทธิไปบอกว่า พุทธศาสนาแบบนี้ไม่มีอยู่ในประเทศไทย” – อ.ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
———————————————————–
ตอบ: กรณีคอมเม้นท์ที่ว่า เป็นความเชื่อส่วนบุคคล
พุทธะอิสระ: ฉันก็เพิ่งจะรู้ว่า คำว่าความเชื่อส่วนบุคคลนี้มีสามารถเอามาโฆษณาช่วยให้คนอื่นเชื่อได้ด้วย
เหมือนอย่าง ธัมมชโย นำเอาความเชื่อของตนออกมาเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ว่า สตีฟ จ๊อบ ตายแล้วไปเกิดที่ไหน มีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร โดยไม่มีใครพิสูจน์ได้
อีกซักความเชื่อหนึ่ง มีลูกศิษย์ธรรมกายถามเจ้าลัทธิว่า น้าชายเขาตายแล้วไปเกิดที่ไหน
เจ้าลัทธิใช้ความเชื่อส่วนบุคคลของตน มาบอกกับลูกศิษย์ผู้นั้นไปว่า
ตอนนี้น้าชายของเขาไปเกิดเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้น ๒ มีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น หากต้องการจะช่วยน้าชายหล่ะก็ ต้องบริจาคทำบุญมาแยะๆ
ต่อมาศิษย์ผู้นั้น ใช้สิทธิส่วนบุคคล พูดสวนไปว่า น้าของผมยังอยู่ในบ้าน ยังไม่ตายครับ
เช่นนี้ เขาเรียกว่า ความเชื่อส่วนบุคคล หรือเปล่า
ไม่ทราบว่าผู้ที่คิดที่เขียน ผู้นำเอาบทความนี้มาลง เคยบวชไหม ถ้าไม่เคยบวช หรือเคยบวชแต่ไม่ได้ศึกษา หรือเป็นคนละศาสนา ก็คงไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้า ชี้โทษของภิกษุผู้นำความเชื่อส่วนบุคคลที่ใครๆ ก็พิสูจน์ไม่ได้ออกมาบอก หรือเผยแพร่ เมื่อมีผู้ฟังแล้วเชื่อ ต้องอาบัติปาราชิก
แม้ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ก็กำหนดโทษแก่ผู้ที่นำความเชื่อส่วนบุคคลที่พิสูจน์ไม่ได้ ออกมาเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์ ตามมาตรา ๑๔ “ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(๑) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”
ตอบ: กรณี วลีประโยคที่คุณว่า คนที่ศรัทธามี คนที่ไม่ศรัทธา คุณก็ไม่ต้องมาวัดเค้า
พุทธะอิสระ: ขอบอกว่า ชาวพุทธ ที่เขามีหัวใจรักและห่วงแหนต่อพระธรรมวินัย เขาต้องการปกป้องพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเมื่อใดที่มีพวกอลัชชี สมี แอบแฝง เข้ามาอาศัย อ้างเอาพระธรรมวินัยหากิน วิปริต ผิดหลัก ก็สมควรจักถูกประณามขับไล่
ฉะนั้น คนดี มีปัญญา คงไม่มีใครเข้าไปเห็นดีเห็นงามกับไอ้พวกอาศัยพระศาสนาหากินดอก ยกเว้นจะเป็นอวกเอียวอัง
กรณี ข้อเขียนที่บอกว่า คุณไม่มีสิทธิ ไปบอกว่า พระพุทธศาสนาแบบนี้ ไม่มีอยู่ในประเทศไทย
พุทธะอิสระ: ช่างกล้าพูด กล้าเขียนแสดงรากคิด ออกมาโดยไม่แยแสสนใจ รากเหง้า แก่นแท้สัจจะธรรมเลยนะ
คงเป็นธรรมดา ของพวกมีอัตตาเป็นใหญ่
ใหญ่เสียจน เสียนิสัย กลายเป็นสันดาน ที่จะละเลยหลักการ แก่นแกนกลางของความจริง
เจอะ อะไร ก็อ้างแต่สิทธิ
ถามจริงเถอด ในสมองมีแต่คำว่าสิทธิแค่นั้นหรือ
แล้วคำว่า หน้าที่ สำนึกรับผิดชอบ แยกแยะถูกผิดให้ชัด การมีส่วนร่วมในกติกา สังคม และความจริงหายไปไหน
พระธรรมวินัยนี้ ท่านมีรากเหง้ามาจาก การค้นหาความจริง
และการที่จะเข้าถึงความจริง ก็ต้องรู้จักหน้าที่
การเข้าถึงความจริง ต้องมีสำนึกรับผิดชอบ
การเข้าถึงความจริง ต้องมีปัญญาแยกแยะ ถูก – ผิด กุศล – อกุศล ให้ชัดเจน
การเข้าถึงความจริง ต้องเกิดการพึ่งพิงอิงแอบอาศัยกันและกัน เช่น
สงฆ์สาวกต้องอาศัยพระพุทธเจ้า
ศิษย์ต้องอาศัยครูอาจารย์
ผู้จักเข้ามาบวชต้องอาศัยอุปัชฌาย์
พระใหม่นวกะ ต้องอาศัยพระเถระ
ภิกษุสงฆ์ต้องอาศัยชาวบ้าน ญาติโยม อุปถัมภ์ อุปัฏฐาก
พระพุทธศาสนา ต้องอาศัย บริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
เหล่านี้เรียกว่า การมีส่วนร่วม
การเข้าถึงความจริง ต้องมีกฎเกณฑ์ กติกา ระเบียบปฏิบัติ เพื่อทำให้ตนมีสิทธิที่จะอยู่ร่วมกับสังคม และเป็นที่ยอมรับของสังคมได้
เช่น กรณี พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพระธรรม และทรงบัญญัติพระวินัย ทั้งสองสิ่งนี้ เป็นหลักการ แก่นแกนกลาง ที่จะมุ่งสู่สัจจะธรรม ความจริงแท้ เพื่อเป้าหมายสูงสุด คือ การพ้นทุกข์
รวมความว่า ต้องเรียนรู้เรื่องจริง เข้าใจความจริง แจ่มแจ้งชัดเจนในสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ สรรพวัตถุ ตามสภาพแห่งความเป็นจริง ของสิ่งนั้นๆ
เช่นนี้ตะหากเล่า จึงจะเข้าสู่วิถีแห่งการพ้นทุกข์ได้
สรุปความว่า พระธรรมวินัยนี้ ท่านมีรากเหง้ามาจากการค้นหา แก่นแกนกลางของความจริง เพื่อความพ้นทุกข์
ฉะนั้น การที่บุคคลยินยอมเข้ามาพึ่งพิงอิงอาศัย พระธรรมวินัยนี้ ก็แสดงว่า จักต้องพร้อมยอมรับใน กฎเกณฑ์ กติกา ระเบียบปฏิบัติ อย่างเคร่งครัดแล้ว
หากจะมาอ้างถึงสิทธิ ทวงสิทธิ พูดเรื่องสิทธิ ก็ต้องถือว่า สิทธิของพระธรรมวินัยนี้ คือ ทุกคนที่เข้ามาต้องศึกษา ปฏิบัติตาม โดยไม่มีข้อยกเว้น นี้คือสิทธิขององค์กร
แต่ถ้ายังจะอ้างสิทธิส่วนบุคคล หรือสิทธิของพรรคพวก แล้วมาทำลายแก่นแกนกลาง หลักการ กฎเกณฑ์ แบบธรรมเนียม ระเบียบปฏิบัติ ของพระธรรมวินัยนี้
ก็เท่ากับ กำลังทำลายประโยชน์ของผู้อื่น ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด
อย่างนี้ต้องกำจัด
ไม่มีใครว่า ถ้าเป็นพุทธศาสนา แล้วจะอยู่ในประเทศไทยนี้ไม่ได้
แต่ผู้ที่ไม่ควรอยู่ และอยู่ไม่ได้ คือ พวกที่แอบอ้างว่าตนเป็นพุทธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน กลับมีกมลสันดานโสมม เข้ามาแอบอ้างอาศัยเกาะพระธรรมวินัยหากิน เช่นนี้ ก็ถือว่าขี้เท็จ
เช่นนี้จะสมควร เรียกว่าพุทธศาสนาได้อีกกระนั้นหรือ
พุทธะอิสระ
[ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักข่าวผู้จัดการออนไลน์]