ถึงเวลาล้างบางอลัชชีแล้ว

0
98

บทความ

ถึงเวลาล้างบางอลัชชีแล้ว

๒๕ มกราคม ๒๕๕๙

250159 บทความ ถึงเวลาล้างบางอลัชชีแล้ว (1)

ได้เวลาเช็คบิลพวกอลัชชีชั่วที่ทำตัวมึน ไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว กันเสียที

 

บอกแล้วไง งานนี้ ใครดี ใครอยู่ ตายเป็นตาย

 

สู่อุตส่าห์วางหมากทำกับดักมาตั้ง ๒ ปี เที่ยวนี้ คงได้เวลารุกฆาตเสียที

 

บอกแล้วไง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

 

อุตส่าห์สู้มาถึงขนาดนี้

 

หากวันนี้กฎหมาย ยังไม่สามารถเอาผิดกับคนชั่วคนเลวได้ ก็ไม่รู้จะสู้ไปทำไม

 

คงต้องฝากลุงตู่และ คสช. ว่าขออย่าให้มีอะไรมาขัดขวางกระบวนการยุติธรรมที่กำลังดำเนินไปเท่านั้น

 

แล้วทุกอย่างจะจบแบบไม่มีข้อกังขา

 

อ้อ… แล้วไม่ต้องห่วงฉันหรอกนะ

 

ฉันไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นทุกข์เดือดร้อนเพราะห่วงใยฉัน

พุทธะอิสระ

________________________________________________________________________________________________

 

เขียนที่ วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ต.ห้วยขวาง

 

อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ๗๓๑๔๐

 

วันที่ มกราคม ๒๕๕๙

 

เรื่อง ขอให้เร่งรัดดำเนินการจับกุมธมฺมชโยหรือพระเทพญาณมหามุนี เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย สึกออกจากสถานภาพของภิกษุ ในข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ในความผิดตามมาตรา ๒๐๘ และความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒

 

เจริญพร ท่าน พล.ต.ต.ถาวร ขาวสะอาด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี

 

ตามที่อาตมาภาพ ภิกษุสุวิทย์ ธีรธมฺโม ลูกวัดอ้อน้อยได้มาแจ้งความร้องทุกข์ให้ท่านได้สืบสวน สอบสวน และจับกุมธัมฺมชโย หรือพระเทพญาณมหามุนี เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๘ และความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒

 

สืบเนื่องด้วยในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงมีพระวินิจฉัยลงโทษธมฺมชโย หรือพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องอาบัติปาราชิก ๒ ข้อหา ได้แก่

– เป็นเจ้าพนักงานยักยอกเงินวัดจำนวน ๙๕๙ ล้านบาท มาเป็นชื่อของตน เป็นความผิดร้ายแรง ตามพุทธบัญญัติถือว่าต้องอาบัติปาราชิก สิกขาบทที่ ๒
– อวดอุตริมนุสธรรมเพื่อหวังลาภสักการะ เป็นความผิดร้ายแรงตามพุทธบัญญัติถือว่าต้องอาบัติปาราชิก สิกขาบทที่ ๔

 

อีกทั้งในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ธมฺมชโย หรือพระราชภาวนาวิสุทธิ์เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ยังได้เสนอชื่อตนเองต่อเจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้นจนถึงมหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าขอพระราชทานสมณศักดิ์ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองพ้นสภาพจากความเป็นพระภิกษุไปตั้งแต่ปี ๔๒ แล้ว เช่นนี้ถือว่าเป็นการจาบจ้วงดูหมิ่นหลอกลวงต่อองค์พระประมุขของประเทศ

 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาอาตมาภาพได้นำเรื่องพระวินิจฉัยไปร้องเรียนแก่ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ และดีเอสไอซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐได้ทำการสืบสวนสอบสวนพระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชว่ามีกฎหมายรองรับถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายหรือไม่ และพระวินิจฉัยนั้นเป็นของจริงหรือไม่

 

เมื่อทั้งสองหน่วยงานได้ทำการสืบสวนสอบสวน ตรวจสอบทั้งพยานเอกสาร พยานวัตถุ และพยานบุคคลแล้ว จึงได้มีมติเป็นเอกฉันท์รับรองว่าพระวินิจฉัยเป็นของจริง มีผลผูกพันทางกฎหมาย เจ้าหน้าที่รัฐผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระบัญชาดังเอกสารยืนยันของผู้ตรวจการแผ่นดินและดีเอสไอที่แนบมานี้

 

เมื่อหลักฐานความผิดปรากฏชัดเจนดังนี้ อาตมาภาพจึงใคร่ขอความกรุณาท่านผู้บังคับการจังหวัดในฐานะเป็นเจ้าพนักงานในพื้นที่เกิดเหตุ ได้กรุณาดำเนินคดีกับธมฺมชโย หรือพระเทพญาณมหามุนี เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้แต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๘ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ เพื่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาและพระธรรมวินัยอันบริสุทธิ์ บริบูรณ์ จักได้ไม่เป็นเครื่องมือหากินของคนทุจริตต่อไป

 

คดีนี้ยืดเยื้อมายาวนานเพราะการละเลยของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ จนทำให้เกิดความเสียหายต่อศรัทธาอันบริสุทธิ์ของพุทธบริษัทอย่างมากมาย แม้ล่าสุดธมฺมชโยยังมีส่วนพัวพันการฉ้อโกง ยักยอกเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เกิดความเสียหายแก่คนจำนวนหลายหมื่นคน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นคนสูงอายุที่นำเงินก้อนสุดท้ายของชีวิตไปฝากไว้กับสหกรณ์เพื่อหวังดอกเบี้ยเอาไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต แต่ต้องมาถูกไวยาวัจกรวัดพระธรรมกายซึ่งเป็นประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และธมฺมชโยพร้อมพวก ยักยอกเงินฝากของสมาชิกจนเสียหายไปถึง ๓ หมื่นกว่าล้าน

 

เพื่อบรรเทาความเสียหายและไม่ปล่อยให้คนทุจริตลอยนวลอาศัยผ้าเหลืองหลอกลวงประชาชนจนเกิดความเสียหายได้ต่อไปอีก อาตมาจึงขอให้ท่านผู้บัญชาการดำเนินการรับเป็นภาระสืบสวนสอบสวนและนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามโทษานุโทษและให้เป็นไปตามพระบัญชาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระธรรมวินัยสืบไป

 

อีกทั้งท่านยังสามารถช่วยบรรเทาโทษทัณฑ์ที่กรรมการมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจักได้รับ จากการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ อีกด้วย ถือว่าคุณได้ช่วยนักบวชและข้าราชการเอาไว้จำนวนมาก หากคุณลงมือทำหน้าที่อย่างซื่อตรง

 

“ความล่าช้า คือความอยุติธรรม”

เจริญพร

(พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม)