ลองอ่านวิธีคิดของนักบวชระดับกรรมการมหาเถรสมาคม อธิการบดี มจร. เขาดูหน่อย
(ขออนุญาตแชร์นะจ๊ะ)
—————————————-
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ หน้า ๒
ด้านพระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมมจตโต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส อธิการบดี มจร. และในฐานะหนึ่งในกรรมการ มส.ระบุว่า ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่รวบรวมข่าวที่กระทบต่อคณะสงฆ์ และแจ้งให้ มส.ได้ติดตามข้อมูล ใช้เป็นฐานข้อมูล หากมีประเด็นใดที่ไม่ถูกต้อง ต้องมีการออกมาชี้แจง ให้เกิดความเข้าใจ เพื่อมาช่วย ผอ.พศ. ในการชี้แจงข้อมูล รวมถึงการช่วยประชาสัมพันธ์งานของคณะสงฆ์ด้วย
ส่วนตัวมองว่าในเรื่องการทุจริตเงินทอนวัดนั้น วัดต่างๆ ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง เชื่อว่าพระสงฆ์ทำตามคำแนะนำของข้าราชการ และแต่ละวัดไม่ได้ประโยชน์อะไรจากกรณีนี้
พระพรหมบัณฑิต เปิดเผยอีกว่า จะเห็นได้ว่าแต่ละวัดไม่ได้รับงบประมาณตามจำนวนที่ขอไป ดังนั้นควรตรวจสอบดูปลายทางของเงิน ว่าไปอยู่ตรงไหน และควรให้พระสงฆ์เป็นพยานในเรื่องนี้ ทั้งนี้จากปัญหาที่เกิดขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ พศ. ควรเข้าไปทำความเข้าใจกับพระสงฆ์ เพราะเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น มาจากการที่พระสงฆ์ขาดความเข้าใจในเรื่องระเบียบการใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน พระสงฆ์ส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีความเข้าใจเรื่องกฎหมาย ทำให้บางเรื่องอาจเกิดความผิดพลาด
ทั้งนี้สถานะของพระสงฆ์ต้องปฏิบัติตามทั้งกฎหมาย พระธรรมวินัยจารีต ดังนั้นจำเป็นต้องมีการจัดเวทีสัมมนา เพื่อให้พระสงฆ์เกิดความเข้าใจในเรื่องของกฎหมายต่างๆ ที่สำคัญสำหรับพระสงฆ์ เช่น เรื่องการจัดการทรัพย์สินวัด และกฎหมายด้านการปกครอง เพื่อให้รู้ระเบียบในการปฏิบัติ จะได้เกิดความโปร่งใส
—————————————-
ใครอยู่ใกล้ๆ หลงพี่แกลองช่วยถามหน่อยซิว่า
– ก่อนที่จะอนุมัติจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุนวัด จะต้องผ่านการพิจารณาจากกรรมการฝ่ายมหาเถรก่อนมิใช่หรือหลงพี่
– เงินส่วนใหญ่ที่ต้องจ่ายเงินทอน ล้วนโอนเข้าบัญชีชื่อสมภารทั้งนั้น อย่างนี้หลงพี่ยังจะบอกว่าพระไม่รู้ไม่เห็นอีกหรือ
– หลงพี่จะให้สังคมเขาเชื่อจริงๆ ล่ะหรือว่า อยู่ดีๆ เงินลอยมาเข้าบัญชีส่วนตัวของเจ้าอาวาสเป็น ๑๐ ล้าน แล้วต้องเบิกคืนให้กับเจ้าหน้าที่ไป ๘-๙ ล้าน ตัวเจ้าอาวาสไม่รู้ ไม่เห็น
– หลายวัดที่ไม่ได้เขียนของบ ไม่มีการก่อสร้างปฏิสังขรณ์ใดๆ แต่ก็มีงบลอยมาเข้ากระเป๋าสมภาร อย่างนี้หลงพี่จะอธิบายอย่างไร หรือจะอธิบายว่า เจ้าหน้าที่เขาให้โดยเสน่ห์หา นั่นมันเงินงบประมาณแผ่นดินนะหลงพี่
– ที่หลงพี่บอกว่าวัดไม่ได้ประโยชน์จากเงินงบประมาณอุดหนุนนี้นั้นถูกต้องแล้ว เพราะเปรตห่มเหลืองกับผีเปรตของสำนักพุทธมันคาบเงินงบไปกินหมด วัดจึงไม่ได้ประโยชน์อะไร
– หากหลงพี่บอกว่า พระท่านไม่รู้กฎหมาย ไม่เข้าใจระบบทำบัญชี แล้วไอ้โครงการที่ มจร.เบิกเงินงบประมาณมาทำการอบรมพระสังฆาธิการทั่วประเทศกันเกือบทุกปี พวกหลงพี่อบรมอะไรให้กับพวกเจ้าอาวาสล่ะหลงพี่
– หากนักบวชร่วมทำผิดแล้วจะมาตีเนียนแกล้างโง่ว่า “อาตมาไม่รู้ซิ” อย่างนี้ แล้วนักบวชเจ้าคณะปกครองที่บังคับให้หลวงตา เจ้าอาวาส ไปเปิดบัญชีเงินฝากเพื่อให้พวกผีเปรตจากสำนักพุทธโอนเงินมาแบ่งกันนี่ล่ะ อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้ไม่เห็นได้ไหม
– มหาลัยสงฆ์ทั้ง ๒ แห่ง ล้วนได้รับเงินงบประมาณการอบรมเจ้าคณะพระสังฆาธิการทั้งนั้น จะมาบอกว่าพระไม่รู้ระเบียบการทำบัญชี ไม่รู้กฎหมาย ใครเขาจะเชื่อ
– ที่หลงพี่พูดว่า พระท่านหลงเชื่อข้าราชการ หลงเชื่อเจ้าหน้าที่จึงทำตาม พุทธะอิสระถามหลงพี่ว่า หากช้าราชการมันไม่เอาเงินมาล่อ แล้วพระจะเชื่อไหม
หลงพี่เป็นถึงอธิการบดี ครูบาอาจารย์ สอนนักศึกษาในมหาลัยของพระพุทธศาสนา ยังไม่แจ่มชัดในพระสัทธรรมของพรพุทธเจ้า ที่ทรงสอนว่า
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา
เยสํ เหตุํ ตถาคโต อาห
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ
เอวํ วาที มหาสมโณติ ฯ
ธรรมทั้งหลายเหล่าใดเกิดแต่เหตุ
พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้
สรุปความว่า เหตุของการทุจริตครั้งนี้ล้วนมาจากความละโมบโลภมากของทั้งนักบวชและเจ้าหน้าที่สำนักพุทธทั้งนั้นแหละหลงพี่
สุดท้ายไอ้ที่หลงพี่ออกมาบอกว่า ให้กันพระที่เกี่ยวข้องกับเงินทอนเอาไว้เป็นพยาน อันนี้รวมไปถึงข้อกล่าวหากรณีการทุจริตภายใน มจร.ที่ยังอยู่ในมือ สตง และ ป.ป.ช. ด้วยหรือเปล่า หลงพี่
หลงพี่เคยได้เรียนรู้ศึกษาถึงปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ มีพุทธบัญญัติว่า
ภิกษุมีเจตนาลักทรัพย์มีราคาเกิน ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งมีลักษณะที่ทำให้ต้องอาบัติประกอบไปด้วยอาการ ๕ อย่างคือ
๑. รู้ว่าทรัพย์นั้นอันผู้อื่นหวงแหน
๒. มีความสำคัญว่าทรัพย์นั้นผู้อื่นหวงแหน
๓. รู้อยู่ว่าทรัพย์มีค่ามากได้ราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก
๔. มีไถยจิตหรือเจตนาปรากฏขึ้นที่จะเอาทรัพย์นั้นมาเป็นของตน
๕. ภิกษุลูบคลำจับต้องทรัพย์ที่ตนต้องการ ต้องอาบัติทุกกฎ
ทำให้ทรัพย์นั้นไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย
หากทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนจากที่ ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุ
กิริยาอาการของเจ้าอาวาสที่ยินยอมคืนเงินทอน หรือรู้เห็นเป็นใจทุจริตเงินทอน มันเข้าข่ายฉ้อโกงและยักยอก ๒ ใน ๑๓ ลักษณะของการลักทรัพย์ แล้วหลงพี่จะมาตีเนียนแกล้งออกมาบอกหน้าตาเฉยว่า “อาตมาไม่รู้ซิโยม” เช่นนี้ใครเขาจะเชื่อ
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนพวกนี้ทำไมถึงได้ชอบนั่งทับขี้กันเสียจริง เพราะเหตุนี้แหละ พุทธะอิสระถึงได้นำกางเกงในมีขี้ติดไปให้ไง
พุทธะอิสระ