สังคมเขาจะเชื่อหลงพี่หรอ ว่านักบวชที่พัวพันการรับเงินทอน ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ผิด

0
464

ลองอ่านวิธีคิดของนักบวชระดับกรรมการมหาเถรสมาคม อธิการบดี มจร. เขาดูหน่อย

(ขออนุญาตแชร์นะจ๊ะ)
—————————————-

หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ หน้า ๒
ด้านพระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมมจตโต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส อธิการบดี มจร. และในฐานะหนึ่งในกรรมการ มส.ระบุว่า ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่รวบรวมข่าวที่กระทบต่อคณะสงฆ์ และแจ้งให้ มส.ได้ติดตามข้อมูล ใช้เป็นฐานข้อมูล หากมีประเด็นใดที่ไม่ถูกต้อง ต้องมีการออกมาชี้แจง ให้เกิดความเข้าใจ เพื่อมาช่วย ผอ.พศ. ในการชี้แจงข้อมูล รวมถึงการช่วยประชาสัมพันธ์งานของคณะสงฆ์ด้วย

ส่วนตัวมองว่าในเรื่องการทุจริตเงินทอนวัดนั้น วัดต่างๆ ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง เชื่อว่าพระสงฆ์ทำตามคำแนะนำของข้าราชการ และแต่ละวัดไม่ได้ประโยชน์อะไรจากกรณีนี้

พระพรหมบัณฑิต เปิดเผยอีกว่า จะเห็นได้ว่าแต่ละวัดไม่ได้รับงบประมาณตามจำนวนที่ขอไป ดังนั้นควรตรวจสอบดูปลายทางของเงิน ว่าไปอยู่ตรงไหน และควรให้พระสงฆ์เป็นพยานในเรื่องนี้ ทั้งนี้จากปัญหาที่เกิดขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ พศ. ควรเข้าไปทำความเข้าใจกับพระสงฆ์ เพราะเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น มาจากการที่พระสงฆ์ขาดความเข้าใจในเรื่องระเบียบการใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน พระสงฆ์ส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีความเข้าใจเรื่องกฎหมาย ทำให้บางเรื่องอาจเกิดความผิดพลาด

ทั้งนี้สถานะของพระสงฆ์ต้องปฏิบัติตามทั้งกฎหมาย พระธรรมวินัยจารีต ดังนั้นจำเป็นต้องมีการจัดเวทีสัมมนา เพื่อให้พระสงฆ์เกิดความเข้าใจในเรื่องของกฎหมายต่างๆ ที่สำคัญสำหรับพระสงฆ์ เช่น เรื่องการจัดการทรัพย์สินวัด และกฎหมายด้านการปกครอง เพื่อให้รู้ระเบียบในการปฏิบัติ จะได้เกิดความโปร่งใส
—————————————-

ใครอยู่ใกล้ๆ หลงพี่แกลองช่วยถามหน่อยซิว่า

– ก่อนที่จะอนุมัติจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุนวัด จะต้องผ่านการพิจารณาจากกรรมการฝ่ายมหาเถรก่อนมิใช่หรือหลงพี่

– เงินส่วนใหญ่ที่ต้องจ่ายเงินทอน ล้วนโอนเข้าบัญชีชื่อสมภารทั้งนั้น อย่างนี้หลงพี่ยังจะบอกว่าพระไม่รู้ไม่เห็นอีกหรือ

– หลงพี่จะให้สังคมเขาเชื่อจริงๆ ล่ะหรือว่า อยู่ดีๆ เงินลอยมาเข้าบัญชีส่วนตัวของเจ้าอาวาสเป็น ๑๐ ล้าน แล้วต้องเบิกคืนให้กับเจ้าหน้าที่ไป ๘-๙ ล้าน ตัวเจ้าอาวาสไม่รู้ ไม่เห็น

– หลายวัดที่ไม่ได้เขียนของบ ไม่มีการก่อสร้างปฏิสังขรณ์ใดๆ แต่ก็มีงบลอยมาเข้ากระเป๋าสมภาร อย่างนี้หลงพี่จะอธิบายอย่างไร หรือจะอธิบายว่า เจ้าหน้าที่เขาให้โดยเสน่ห์หา นั่นมันเงินงบประมาณแผ่นดินนะหลงพี่

– ที่หลงพี่บอกว่าวัดไม่ได้ประโยชน์จากเงินงบประมาณอุดหนุนนี้นั้นถูกต้องแล้ว เพราะเปรตห่มเหลืองกับผีเปรตของสำนักพุทธมันคาบเงินงบไปกินหมด วัดจึงไม่ได้ประโยชน์อะไร

– หากหลงพี่บอกว่า พระท่านไม่รู้กฎหมาย ไม่เข้าใจระบบทำบัญชี แล้วไอ้โครงการที่ มจร.เบิกเงินงบประมาณมาทำการอบรมพระสังฆาธิการทั่วประเทศกันเกือบทุกปี พวกหลงพี่อบรมอะไรให้กับพวกเจ้าอาวาสล่ะหลงพี่

– หากนักบวชร่วมทำผิดแล้วจะมาตีเนียนแกล้างโง่ว่า “อาตมาไม่รู้ซิ” อย่างนี้ แล้วนักบวชเจ้าคณะปกครองที่บังคับให้หลวงตา เจ้าอาวาส ไปเปิดบัญชีเงินฝากเพื่อให้พวกผีเปรตจากสำนักพุทธโอนเงินมาแบ่งกันนี่ล่ะ อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้ไม่เห็นได้ไหม

– มหาลัยสงฆ์ทั้ง ๒ แห่ง ล้วนได้รับเงินงบประมาณการอบรมเจ้าคณะพระสังฆาธิการทั้งนั้น จะมาบอกว่าพระไม่รู้ระเบียบการทำบัญชี ไม่รู้กฎหมาย ใครเขาจะเชื่อ

– ที่หลงพี่พูดว่า พระท่านหลงเชื่อข้าราชการ หลงเชื่อเจ้าหน้าที่จึงทำตาม พุทธะอิสระถามหลงพี่ว่า หากช้าราชการมันไม่เอาเงินมาล่อ แล้วพระจะเชื่อไหม

หลงพี่เป็นถึงอธิการบดี ครูบาอาจารย์ สอนนักศึกษาในมหาลัยของพระพุทธศาสนา ยังไม่แจ่มชัดในพระสัทธรรมของพรพุทธเจ้า ที่ทรงสอนว่า

เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา
เยสํ เหตุํ ตถาคโต อาห
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ
เอวํ วาที มหาสมโณติ ฯ

ธรรมทั้งหลายเหล่าใดเกิดแต่เหตุ
พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้

สรุปความว่า เหตุของการทุจริตครั้งนี้ล้วนมาจากความละโมบโลภมากของทั้งนักบวชและเจ้าหน้าที่สำนักพุทธทั้งนั้นแหละหลงพี่

สุดท้ายไอ้ที่หลงพี่ออกมาบอกว่า ให้กันพระที่เกี่ยวข้องกับเงินทอนเอาไว้เป็นพยาน อันนี้รวมไปถึงข้อกล่าวหากรณีการทุจริตภายใน มจร.ที่ยังอยู่ในมือ สตง และ ป.ป.ช. ด้วยหรือเปล่า หลงพี่

หลงพี่เคยได้เรียนรู้ศึกษาถึงปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ มีพุทธบัญญัติว่า

ภิกษุมีเจตนาลักทรัพย์มีราคาเกิน ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งมีลักษณะที่ทำให้ต้องอาบัติประกอบไปด้วยอาการ ๕ อย่างคือ

๑. รู้ว่าทรัพย์นั้นอันผู้อื่นหวงแหน

๒. มีความสำคัญว่าทรัพย์นั้นผู้อื่นหวงแหน

๓. รู้อยู่ว่าทรัพย์มีค่ามากได้ราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก

๔. มีไถยจิตหรือเจตนาปรากฏขึ้นที่จะเอาทรัพย์นั้นมาเป็นของตน

๕. ภิกษุลูบคลำจับต้องทรัพย์ที่ตนต้องการ ต้องอาบัติทุกกฎ

ทำให้ทรัพย์นั้นไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย

หากทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนจากที่ ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุ

กิริยาอาการของเจ้าอาวาสที่ยินยอมคืนเงินทอน หรือรู้เห็นเป็นใจทุจริตเงินทอน มันเข้าข่ายฉ้อโกงและยักยอก ๒ ใน ๑๓ ลักษณะของการลักทรัพย์ แล้วหลงพี่จะมาตีเนียนแกล้งออกมาบอกหน้าตาเฉยว่า “อาตมาไม่รู้ซิโยม” เช่นนี้ใครเขาจะเชื่อ

ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนพวกนี้ทำไมถึงได้ชอบนั่งทับขี้กันเสียจริง เพราะเหตุนี้แหละ พุทธะอิสระถึงได้นำกางเกงในมีขี้ติดไปให้ไง

พุทธะอิสระ